เครื่องเล่นแผ่นเสียง Rega Planar 3 พร้อมหัวเข็ม Nd3 moving magnet
ลุ่มลึก เรียบง่าย เต็มอารมณ์ดนตรี
ในยุคที่เสน่ห์ของเสียงแผ่นไวนิลกำลังหวนคืนสู่กระแสหลัก เครื่องเล่นแผ่นเสียงคุณภาพเยี่ยมในราคาที่เอื้อมถึงได้กลับกลายเป็นของหายาก โดยเฉพาะสำหรับนักเล่นที่มองหาเครื่องระดับกลางในช่วงราคา 4-5 หมื่นบาท
ท่ามกลางตลาดที่เปลี่ยนแปลงนี้ แบรนด์ Rega จากประเทศอังกฤษ ยังคงยืนหยัดเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับนักฟังเพลงที่ต้องการคุณภาพในราคาสมเหตุผล
เสาหลักที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จคือ คุณ Roy Gandy บุคลากรสำคัญของวงการนักออกแบบเครื่องเล่นแผ่นเสียงและเป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของ REGA Research Limited.
เขาเริ่มต้นธุรกิจในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ด้วยความไม่พอใจในคุณภาพของเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่มีอยู่ในตลาดขณะนั้น เขามองว่าเครื่องเล่นส่วนใหญ่มีการออกแบบที่ซับซ้อนเกินความจำเป็น ยากต่อการติดตั้งและบำรุงรักษา อีกทั้งยังมีราคาแพงเกินเหตุ
เรียกว่าไม่เน้นแพงที่ราคา แต่เน้นคุณภาพให้เหนือกว่าสินค้าราคาสูงได้ยิ่งดี
จุดแข็งทางธุรกิจอย่างหนึ่งของ Rega Research ที่ประสบความสำเร็จ คือความสามารถในการผลิตโทนอาร์มมวลเบาที่มีคุณสมบัติโดดเด่นด้านเทคนิคมากๆ ได้ในราคาไม่แพง เนื่องจากกลยุทธ์การลงทุนทำแม่พิมพ์หล่อโทนอาร์มเอง ตั้งแต่สมัยที่แผ่นเสียงยังเป็นเทคโนโลยีหลัก ส่งผลให้ในปัจจุบันบริษัทมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงอย่างมาก แม้แต่ Harry Weisfeld จากสำนัก VPI เองก็ยังยอมรับ
The Iconic Planar 3
Planar 3 เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ขายดีที่สุดตลอดกาลของ Rega ตอนเปิดตัวครั้งแรกช่วงปี 1976 ก็กลายเป็นขวัญใจนักเล่นที่เอื้อมไม่ถึง Linn Sondek LP12 แทบจะในทันที ผ่านมา 40 ปีดีไซน์หลักๆ ของ Planar 3 ยังคงเดิม แต่มีการปรับปรุงด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นรูปลักษณ์ทางวิศวกรรมที่ “เบาแต่แข็งแกร่ง” ซึ่งคิดค้นโดย Roy Gandy
เครื่องที่นำมาทดสอบเป็นสีใหม่ Light Oak effect ดูอบอุ่นแบบมินิมอล พร้อมหัวเข็มรุ่นล่าสุด Nd3 ซึ่งมาแทนที่รุ่น Elys 2 เดิม ติดตั้งแบบ factoty-fitted จากโรงงาน การใช้งานเป็นระบบแมนนวลทั้งหมด
ใต้ฐานของเครื่องเป็นส่วนที่ติดตั้งชุดมอเตอร์และสวิตช์ปิด-เปิด รวมถึง isolation feet ยางสีดำทรงทิปโทดีไซน์ใหม่สามจุด มีสายสัญญาณโฟโนคุณภาพดี รุ่น Couple 3 ซึ่งแมตช์ค่าคาปาซิแตนซ์อย่างเหมาะสมเชื่อมติดเครื่องมาเลย และไม่มีสายสายกราวด์ยื่นออกมาให้เห็น เนื่องจากถูกซ่อนเอาไว้กับสายสัญญาณเสียงแชนเนลซ้าย ซึ่งทาง Rega เชื่อว่าวิธีนี้ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า
จุดที่ต่างจากรุ่นรองอย่าง Planar 2 นอกจากแพลตเตอร์กระจกและ MAT กำมะหยี่มีความหนาและหนักขึ้นอีกเล็กน้อยแล้ว ระบบเมนแบริ่งตรงกลางใช้เฮาส์ซิ่งทองเหลืองดีไซน์ใหม่เพื่อลดความเค้นของตัวแบริ่ง ช่วยยืดอายุการใช้งาน และปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวม
ส่วนของแท่น (plinth) ใช้แกนกลางที่ทำจากวัสดุน้ำหนักเบาประกบแซนด์วิชด้วยชั้นวัสดุทำพื้นผิวบางๆ มีการเพิ่มฟีโนลิกเรซินหนาสองชั้นเฉพาะจุดที่ต้องการความแข็งแรงเป็นพิเศษ และเสริมความแน่นหนาด้วยโครงอะลูมิเนียมแบบคู่ (double brace system) ระหว่างจุดยึดอาร์มและเมนแบริ่ง
ผลลัพธ์ที่ได้คือ โครงสร้างแบบ “stressed beam” ที่เบาแต่แกร่ง ช่วยป้องกันการดูดซับพลังงานและแรงสั่นกวนที่อาจก่อให้เกิดการบิดเบือนของเสียงดนตรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันการถ่ายโอนพลังงานส่วนเกิน เช่น เสียงมอเตอร์ หรือแบริ่ง จะวิ่งตรงไปยังแผ่นเสียงขณะหมุนได้ยากเช่นกัน
สวนทางกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ที่ว่า แท่นยิ่งหนัก ยิ่งมั่นคงปลอดแรงสั่นสะเทือน นับเป็นศิลปะของการเล่นกับแรงสั่นสะเทือนด้วยหลักวิศวกรรมที่แยบยล…
ตัวโทนอาร์มแบบมวลเบารุ่น RB330 ดีไซน์เป็นท่ออะลูมิเนียมทรงเรียว โดยใช้เทคโนโลยี 3D CAD/CAM และหล่อขึ้นรูปให้มีความหนาของอาร์มทูบที่ลดหลั่นกันไป จึงมีจุดเกิดแรงสั่นสะเทือนน้อยลง เก็บรายละเอียดเสียงได้มากขึ้น ให้ความแม่นยำในการเคลื่อนไหวที่แทบไร้แรงเสียดทาน ทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง
Rega Nd3 moving magnet
Rega เคลมว่า นี่เป็นครั้งแรกที่มีการนำแม่เหล็กนีโอไดเมียมมาใช้กับหัวเข็ม moving magnet ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Nd ขอดีคือให้ความเข้มของเส้นแรงแม่เหล็กสูงกว่าแม่เหล็กเฟอไรต์ ทำให้ตัวแม่เหล็กที่ใช้มีขนาดเล็กลง ทำให้หัวเข็มมีน้ำหนักเบาขึ้น มีทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ Nd3, Nd5 และรุ่นท็อปสุด Nd7
เฮาส์ซิ่งของ Nd3 ทำจากวัสดุ PPS (โพลีฟีนิลีนซัลไฟด์) ปลายเข็มเป็นทรงรี elliptical ที่เก่งเรื่องการเก็บรายละเอียด ใช้เพชรโพลีคริสตัลไลน์สังเคราะห์ ก้านเข็มไทเทเนียม ขดลวดพันมือ ออกแบบเจเนอเรเตอร์ และ magnet gap ใหม่ ช่วยเรื่องบาลานซ์ระหว่างแชนเนลซ้าย-ขวาได้เท่าเทียมกันมากขึ้น มีความเป็นเชิงเส้นและลด crosstalk ได้มากขึ้น ส่งผลให้เวทีเสียงกว้างขึ้นกว่าเดิม
คุณสมบัติโดยรวม Planar 3
- ใช้ระบบขับเคลื่อน belt-drive สปีด 33 ⅓, 45 RPM
- ตัวแท่นใช้เทคโนโลยี Double brace
- แพลตเตอร์กระจก ‘Optiwhite’ หนา 12 มม.
- โทนอาร์ม RB330
- หัวเข็ม MM Rega Nd3
- มอเตอร์อะซิงโครนัส 24V แบบ low-torque
- สายพาน Rega Advance BELT
- อัพเกรดเพาเวอร์ซัพพลาย Neo PSU MKII ได้
เซ็ตอัพ
พื้นฐานของ Planar 3 ถูกดีไซน์มาให้เซ็ตอัพง่ายไม่ยุ่งยาก จัดวาง Planar 3 บนพื้นผิวที่มั่นคงและได้ระดับน้ำ ก่อนจะวาง platter กับแผ่นสักหลาด ก็เช็คสายพานให้คล้องอยู่ตำแหน่งบนของพูเลย์ (สำหรับสปีด 33 ⅓ RPM) หมุน counterweight ให้อยู่กลางแกน และตรวจสอบตรง tracking force dial และค่า anti-skating ให้อยู่ตรงเลข “0” ทั้งคู่
จากนั้นถอด stylus guard ออกอย่างระมัดระวัง โดยดึงลงตรงๆ ปรับให้โทนอาร์มลอยตัวที่ zero gravity โดยยกอาร์มออกจากแท่นพัก ใช้มือหนึ่งประคองไว้ แล้วใช้มืออีกข้างค่อยๆ หมุน counterweight จนรู้สึกว่าโทนอาร์มเริ่มลอยตัว ถ้าโทนอาร์มเคลื่อนลงแสดงว่าน้ำหนักมากไป ให้หมุน counterweight ถอยหลัง ถ้าเคลื่อนขึ้นแสดงว่าน้ำหนักน้อยไป ให้หมุนเข้ามา ปรับจนโทนอาร์ม “ลอย” ตัวได้ระนาบ จากนั้นเลื่อนโทนอาร์มกลับไปที่แท่นพัก
สุดท้ายปรับค่า tracking force dial ที่เหมาะสมสำหรับหัวเข็ม Nd3 ตามสเปคคือ 1.75 กรัม หากดูด้วยสายตาก็ให้ขีดอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างค่า 1.5 และ 2 บน tracking force dial และปรับค่า anti-skating ที่ฐานของโทนอาร์ม โดยเลื่อนแท่งในช่องเล็กๆ ให้ตรงกับค่า tracking force กรณีนี้คือ 1.75 ก็กะเอาให้อยู่ใต้เลข 2 เล็กน้อยเป็นอันเสร็จพิธี
อันที่จริงถ้า Rega ทำมาร์กเกอร์ตรง 1.75 มาเลยน่าจะเล็งได้สะดวกยิ่งขึ้น สำหรับคนที่ไม่มีเครื่องชั่งน้ำหนักหัวเข็ม เพราะอย่างไรก็ใช้ค่าแรงกดตามสเปคหัวเข็ม (Nd3 หรือ Nd5) อยู่แล้ว
หมายเหตุ เครื่องเล่นแผ่นเสียงของ Rega จะยึดโทนอาร์มเข้ากับบอร์ดอย่างแน่นหนา โดยมีการคำนวณมุม VTA ให้เหมาะสมกับหัวเข็ม รวมถึงตั้ง alignment มาให้เรียบร้อยจากโรงงาน กรณีจะใช้หัวเข็มต่างแบรนด์ ซึ่งอาจต้องการปรับ VTA จำเป็นต้องซื้อออปชั่นเสริม spacer สแตนเลสติดตั้งตรงฐานอาร์มเพิ่มเติม
ซิสเต็มที่ใช้ทดสอบประกอบด้วยสตรีมเมอร์ Gustard X-30, อินทิเกรตแอมป์ Bryston B-60, เพาเวอร์แอมป์ NAD216 THX สลับกับอินทิเกรตแอมป์ Topping LA90 Discrete, ลำโพงบุคเชลฟ์ NHT 1.5 และ โฟโนสเตจ (MM) Fosi Box X2 (standard RIAA) อัพเกรดหลอด NOS RCA 6CB6A และออปแอมป์ Sparkos SS3602 ปรับเกนขยายไว้ที่ 42dB สายนำสัญญาณจากโฟโนสเตจไปยังปรีแอมป์ใช้ของ “เดอะหั่ง” ไฮไฟเฮ้าส์
คุณภาพเสียง
ตัวสักหลาดตอนที่เอาออกจากกล่องใหม่ๆ ยังไม่เรียบ พอวางแผ่นเสียงลงไปใช้งานสักพักก็จะแนบสนิทไปเอง Planar 3 ต้องใช้เวลาเบิร์นอินราวๆ 48 ชั่วโมง ให้สายพานได้ยืดเส้นยืดสายสักนิด ปลายแหลมที่ฟังดูเดินหน้าเล็กน้อยจะผ่อนคลายจนกลับสู่จุดสมดุล
บุคลิกเสียงของ Planar 3 + Nd3 รุ่นล่าสุดนี้จะให้วรรณะที่ค่อนไปทางสว่าง โดยยังคงรักษาโทนัลบาลานซ์ของทุกย่านความถี่ต่างๆ ให้กลมกลืนและเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะย่านเสียงแหลมถูกอัพเกรดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งใครที่คุ้นเคยกับเสียงของ Rega ในยุคแรกๆ จะเน้นความดาร์ค อิ่มหนา ปลายแหลมไม่ได้เปิดโปร่งออกมามากนัก ซึ่งเป็นทั้งเครื่องเล่นแผ่นเสียงและซีดีเพลเยอร์
คราวนี้เรียกว่า กลับตาลปัตรเลยทีเดียว ด้วยความที่ห่างจากการฟังเครื่องเล่นแผ่นเสียง Rega ไปนาน Planar 3 + Nd3 ถ่ายทอดเสียงแหลมที่มีความเปิดโปร่งและมีความพลิ้ว เก็บรายละเอียดได้น่าประทับใจ สามารถถ่ายทอดรายละเอียดของซาวด์สเตจ เสียงก้องสะท้อน และฮาร์โมนิกส์ได้อย่างสวยงาม โทนเสียงโดยรวมมีความสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม
ส่วนหนึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้กับหัวเข็มรุ่นใหม่อย่าง Nd3 ซึ่งเป็นตัวกำหนดองคาพยพของเสียงที่ได้ยินส่วนใหญ่
หากเทียบกันคร่าวๆ กับ Pro-Ject Debut Pro ที่เคยฟังต่างกรรมต่างวาระ และมีพิกัดราคาค่อนข้างใกล้เคียงกัน ขานั้นเน้นความเที่ยงตรงแม่นยำออกมามากกว่า ส่วน Planar 3 + Nd3 จะเจือคัลเลอร์ที่น่าฟังเข้าไปอย่างพอเหมาะ
โดยเฉพาะย่านเสียงกลางซึ่งเป็นจุดแข็งของ Rega ก็ถ่ายทอดความอบอุ่นที่เป็นเอกลักษณ์ออกมาได้ยอดเยี่ยมเหมือนเดิม [James Taylor – JT, 1977, Columbia]
การถ่ายทอดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเสียงร้องและเสียงดนตรีต่างๆ ได้ยินฮาร์โมนิกส์รอบๆ ตัวเสียงอ่อนๆ ชัดเจนดีมาก เสียงร้องทั้งชายหญิงมีเนื้อเสียงที่อิ่มเอิบทั้งย่านกลางสูงและกลางต่ำ มีไดนามิกคอนทราสต์ที่ละเอียด และต่อเนื่องลื่นไหล ทำให้สัมผัสถึงมิติและอารมณ์ที่ฟังแล้วผ่อนคลาย
ส่วนเสียงทุ้มนั้นให้ความกระชับ มีแรงปะทะหัวโน้ตที่ดี ให้ปริมาณที่พอเหมาะไม่ไปบดบังรายละเอียดของย่านความถี่อื่นๆ Planar 3 + Nd3 จะเน้นไปที่ความใสสะอาดของย่านทุ้มมากกว่าความอิ่มหนา ซึ่งถือว่าทำได้โดดเด่นสำหรับราคานี้ คือมีรายละเอียดในย่านเสียงทุ้มที่ติดตามได้ ไม่มีคำว่าคลุมเครือ และคุมจังหวะได้แม่นยำกับทุกๆ แนวเพลง
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ไม่อาจมองข้ามคือ คุณสมบัติด้านไดนามิกที่ Planar 3 + Nd3 สามารถถ่ายทอดความแตกต่างระหว่างเสียงเบาที่สุดไปจนถึงดังที่สุดได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเสียงแผ่วเบาในบทเพลงบรรเลงคลาสสิก หรือเสียงกลองที่ดุดันในเพลงร็อก ชุดนี้สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าฟัง มีน้ำหนักย้ำเน้น ผ่อนหนักผ่อนเบา แสดงอารมณ์ของดนตรีออกมาได้เป็นธรรมชาติ
ความสามารถนี้โดดเด่นเป็นพิเศษในการเล่นเพลงที่มีการเปลี่ยนแปลงระดับเสียงอย่างฉับพลัน [René Leibowitz, The Royal Philharmonic Orchestra, The Beecham Choral Society – The Nine Symphonies Of Beethoven, 1962, Gema]
ช่วงที่มีการสลับระหว่างความดังและความเบาอย่างรวดเร็ว Planar 3 + Nd3 ให้ไดนามิกเรนจ์ที่ปิดกว้างเพียงพอที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างราบรื่น
นอกจากไดนามิกเรนจ์ที่กว้างแล้ว ในเรื่องของไดนามิกคอนทราสต์ การแยกแยะระดับเสียงที่แตกต่างกันเล็กน้อยก็สัมผัสความละเอียดอ่อนของการบรรเลงได้เช่นกัน ซึ่งก็น่าจะมาจากความสามารถในการให้ “ความเงียบ” ของพื้นเสียงระหว่างชิ้นดนตรีที่ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม ในเพลงที่มีเครื่องดนตรีหลายชิ้นบรรเลงพร้อมกัน Planar 3 + Nd3 สามารถแยกแยะเสียงทั้งเบาและดังได้ชัด โดยไม่ทำให้ภาพรวมสูญเสียความกลมกลืน
สุดท้ายคือเรื่องมิติเวทีเสียง ที่ผู้ผลิตบอกว่าหัวเข็มปรับปรุงเรื่องเวทีเสียงขึ้นน่าจะจริง เพราะให้ความกว้างของเวทีเสียงออกมาได้ดีมาก [The Dave Brubeck Quartet – 25th Anniversary Reunion, 1977, A&M] ซึ่งปกติเครื่องเล่นแผ่นเสียงจะให้มิติด้านลึกได้ดี ส่วนด้านกว้างไม่เก่งนัก แต่กับ Planar 3 + Nd3 ต้องถือว่าให้มิติด้านกว้างที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับการฟังสตรีมเมอร์ในเพลงเดียวกัน ไม่ได้ทิ้งห่างกันมากมาย รวมถึงการแยกแยะอิมเมจภายในเวทีเสียงที่ทำออกมาได้ลงตัว นิ่งและมั่นคง
สรุป
Rega Planar 3 + Nd3 เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ให้ความคุ้มค่าสูง และความสามารถในการถ่ายทอดอารมณ์ดนตรีได้อย่างมีชีวิตชีวา จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการก้าวเข้าสู่โลกของการฟังเพลงไวนิลในแบบที่จริงจังมากขึ้น ชื่นชอบการฟังเพลงหลากหลายแนวและที่ไม่ต้องการวุ่นวายกับการปรับแต่งมากเกินไป แต่ยังคงให้คุณภาพเสียงระดับออดิโอไฟล์ ที่สำคัญคือดีไซน์ที่คงความขลัง คลาสสิค และดูมินิมอลไปพร้อมกัน ADP
Rega Planar 3 พร้อมหัวเข็ม Nd3 ราคา 48,750 บาท
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
Komfortsound
โทร. 083-758-7771
No Comments