ธีรวัฒน์
ธีรวัฒน์ โชติสุต

Pass Labs INT-250 มาได้เหมาะเจาะถูกที่ถูกเวลาจริงๆ เพราะผมรอคอยอินทิเกรตแอมป์ตัวนี้ ซึ่งได้รับการกล่าวชื่มชมเอาไว้มากมาย และยังติดในลิสต์ “2017 HIGH-END AUDIO BUYER’s GUIDE” และ “2017 THE ABSOLUTE SOUND EDITOR’s CHOICE AWARD” มานาน และนี่แหละคือ อินทิเกรตแอมป์ที่อยากฟัง และอยากนำมาลองขับลำโพง Paradigm Persona B มากๆ เช่นกัน

ผมเห็นอินทิเกรตแอมป์ของ Pass Labs บ่อยครั้ง แต่บอกตรงๆ ไม่คุ้นเรื่องน้ำหนักเลย วันที่อินทิเกรตแอมป์มาถึงเห็นกล่องก็ตกใจว่ากล่องใหญ่มาก พี่ที่มาส่งบอกว่าต้องยกสองคน คนเดียวไม่ไหวแน่ๆ ผู้ชายยกกันสองคนไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะยังประคองกันมาได้ แต่พอแกะกล่องนี่สิเป็นภาระหน้าที่ของผมและแฟนสองคน ลูกยังเล็กก็คงช่วยอะไรมากไม่ได้ พอแกะกล่องยกกับแฟนคราวนี้แหละ รู้เลยว่าอินทิเกรตแอมป์หนักจริงๆ หนักเกือบ 50 กิโลกรัม แฟนผมถึงกับบ่น “หนักๆ แบบนี้ หากเสียงออกมาไม่ดี จะด่าตั้งแต่ปากซอยยันท้ายซอย” คราวหน้าสงสัยผมต้องลิมิตน้ำหนักของเครื่องบ้างแล้ว อะไรที่หนักเกิน 40 กิโลกรัม คงต้องขอบายแล้วล่ะ

Pass Labs INT-250 ตัวเครื่องใหญ่มาก กว้างและลึก จนผมต้องหันแท่นไม้มะค่ารองเครื่องเป็นตามแนวยาวแทน หน้าปัดอะลูมิเนียมพร้อมมาตรวัดเรืองแสงสีน้ำเงินขนาดใหญ่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของ Pass Labs มาตั้งแต่ถูกใช้ครั้งแรกในแอมป์ Point 8 ผมชอบความเรียบง่ายในการออกแบบของ Pass Labs มากทีเดียว เพราะมันแลดูสะอาดตาเรียบง่าย และดูมีเกรดมากทีเดียว

หน้าปัดเครื่องด้านหน้ามีปุ่มแค่ 5 ปุ่ม คือ ปุ่มกดเปิดใช้งานเครื่อง Power, ปุ่มเลือกอินพุตซึ่งมีด้วยกัน 4 อินพุต และ ปุ่ม Mute ซึ่งอยู่ด้านขวามือ ด้านหลังเครื่องจะเห็นขั้วลำโพงขนาดใหญ่ซึ่งใช้ของ Furutech ช่องเสียบสายไฟเอซีและสวิตช์หลักในการเปิดปิดเครื่อง ตรงนี้ดีหน่อย เพราะเวลาตัดการทำงานของเครื่องก็ให้ปิดสวิตช์หลักตรงนี้เลย ช่องอินพุตมี RCA ทั้งหมด 4 ช่อง แต่สำหรับอินพุต 1 มีขั้วต่อ XLR ไว้ให้ด้วย ช่อง Pre-Out มีทั้ง RCA และ XLR ส่วนช่อง Preamp Input มีช่องต่อแบบ XLR อย่างเดียว

Pass Labs INT-250 ให้กำลังขับ 250 วัตต์ ที่ 8 โอห์ม โดยใช้มอสเฟตจำนวน 8 ตัวต่อข้าง วงจรภายในถอดแบบมาจากเพาเวอร์แอมป์ X-250.8 ซึ่งสามารถจ่ายกระแสได้ถึง 20 แอมป์ พีคได้ถึง 80 แอมป์ การไบอัสวงจรเป็นการไบอัสแบบ Class A โวลุ่มขยายเสียงค่อนข้างละเอียดมาก เพราะขึ้นทีละ 1dB อีกทั้งเกนเสียงก็ต่ำอีกด้วย ทำให้ได้ยินรายละเอียดเรโซลูชั่นและไดนามิกเรนจ์ของเสียงได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น มาพร้อมรีโมตคอนโทรลควบคุมการทำงานได้ครบทุกฟังก์ชั่น 

แม็ตชิ่งซิสเต็ม

เรื่องแม็ตชิ่งอินทิเกรตแอมป์หรือเพาเวอร์แอมป์ จริงๆ มีด้วยกันไม่กี่เรื่องที่ควรใส่ใจ และส่งผลหลักต่อเสียง อย่างแรกที่ควรคำนึงถึง คือ ขนาดของสายลำโพง การใช้แอมป์ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นแอมป์หลอด, แอมป์คลาส D, แอมป์คลาส A หรือ แอมป์คลาส AB ก็ใช่ว่าสายลำโพงหนึ่งคู่ที่มีจะเหมาะสมแม็ตช์กับแอมป์ทุกชนิด เล่นได้ครอบจักรวาลทั้งหมด โดยไม่ขยับปรับเปลี่ยนอะไรเลย ท้ายที่สุดพอเสียงมันไม่ใช่ก็เลยต้องเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี้ ทั้งๆ ที่ต้นเหตุอาจจะเกิดจากสายลำโพงก็ได้ ผมใช้คำว่า“อาจจะเกิด” นะครับ ไม่ได้บอกว่ามันคือสาเหตุทั้งหมด

Pass Labs INT-250 ตัวนี้ให้กำลังขับ 250 วัตต์ ที่ 8 โอห์ม และ 500 วัตต์ ที่ 4 โอห์ม หม้อแปลงมีขนาดใหญ่ นั่นก็หมายความว่าอินทิเกรตแอมป์ตัวนี้สามารถรองรับลำโพงซึ่งมีความไวต่ำๆ ได้เป็นอย่างดี สามารถจ่ายกระแสออกมาได้มาก ฉะนั้น สายลำโพงที่จะแม็ตช์กับอินทิเกรตแอมป์ตัวนี้ต้องมีขนาดที่เหมาะสมด้วย ขนาดหน้าตัดของสายลำโพงจะสำคัญมากกว่าอย่างอื่น

ผมแนะนำว่าสำหรับ Pass Labs INT-250 ควรใช้สายลำโพงที่มีพื้นหน้าตัดของตัวนำมากกว่า 4 sq.mm ขั้นต่ำต้องมีหน้าตัด 6 sq.mm เป็นอย่างน้อย จึงจะสัมผัสความยอดเยี่ยมของ Pass Labs INT-250 ได้อย่างเต็มที่ ไดนามิกเรนจ์ของเสียงจะกว้างมากๆ พอบอกอย่างนี้ ผมเจอบ่อยคือ นักเล่นหลายท่านก็มักเกิดคำถามว่าถ้ามีสายราคาแพงๆ อยู่แล้ว แต่ขนาดตัวนำต่ำกว่าใช้ได้หรือเปล่าในเรื่องแบบนี้ ขนาดที่เหมาะสมจะให้คุณภาพเสียงออกมาดีกว่าการเอาราคาเป็นที่ตั้ง แต่ขนาดหน้าตัดเล็กกว่าสายแพงกว่าก็ไม่จำเป็นต้องดีกว่าหากว่าไม่แม็ตช์กัน มันก็ไม่ใช่คำตอบอยู่ดี พอบอกอย่างนี้ก็มักจะโดนคำถามที่ต่อเนื่องกันอีกว่าทำไมไม่ค่อยเห็น หรือเจอบอกความเรื่องนี้จากรีวิวของต่างประเทศเลย ผมก็บอกเสมอว่าผมเป็นคนไทยไม่ได้เป็นฝรั่งคงตอบแทนกันไม่ได้ อย่างที่สองคือ เรื่องเหล่านี้คือข้อเสนอแนะ ไม่ได้บังคับว่าจะต้องทำตาม เพียงแต่เป็นข้อเสนอแนะว่าหากต้องการให้คุณภาพเสียงดีขึ้น สัมผัสถึงความเป็น Pass Labs INT-250 ได้มากขึ้นเท่านั้นเอง

ส่วนเรื่องของลำโพง ถึงเป็นอินทิเกรตแอมป์ แต่ก็ไม่แนะนำให้ใช้ลำโพงความไวสูงกับ Pass Labs INT-250 เนื่องจากอินทิเกรตแอมป์รุ่นนี้ออกแบบสำหรับลำโพงที่ความไวต่ำกว่า89dB น่าเสียดายที่ผมไม่มีลำโพง Wilson Benesch เพราะคิดว่าน่าจะเหมาะกับ Pass Labs INT-250 มากๆ เนื่องจากรุ่นที่ผมเคยทดสอบความไวค่อนข้างต่ำ แต่ถึงอย่างไรลำโพงใกล้ตัวตอนนี้ที่แม็ตช์กับ Pass Labs INT-250 อีกคู่ก็ต้องยกให้ Paradigm Persona B ซึ่งแม็ตช์ค่อนข้างมากทีเดียว 

ส่วนสายไฟเอซีไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ก็ยังคงใช้สายไฟก้องกิจกร หัวท้าย Wattgat 320EVO, 5266EVO ชุบแพลตตินัมโกลด์เช่นเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก 

ก่อนจะทดสอบ ผมเปิดเพลงทิ้งไว้ตลอดเวลา5 วันต่อเนื่อง ไม่เคยปิดเครื่องหรืออะไรเลย เพื่อทดสอบความคงทนของอุปกรณ์ต่างๆ ฉะนั้น เชื่อได้ครับว่าอุปกรณ์ทุกตัวที่ผ่านมือผมจะทดสอบแบบนี้ตลอด ฉะนั้น เรื่องความถึกคงทนไม่ต้องกังวลอะไรเลยครับ

สำหรับ Pass Labs INT-250 ทุกครั้งที่ปิดเครื่อง แล้วเปิดใช้งานไหม ไม่ว่าจะเล่นอินพุตไหน ตัวเครื่องจะเซ็ต Default ไว้ที่อินพุต 1 เสมอ และระดับความดังจะลดเหลือ 00dB ทุกครั้ง

อีกเรื่องที่สำคัญไม่น้อยคือ การลดสัญญาณรบกวนจากเสียงฮัมจากกราวด์ลูปของสายสัญญาณ โดย Pass Labs INT-250 มีขั้วต่อกราวด์ของสัญญาณอยู่ด้านหลัง คล้ายๆ การต่อขั้วกราวด์ของปรีโฟโน ถามว่าลดอย่างไร โดยการให้ Pass Labs INT-250 ทำตัวเสมือนจุดรวมของสัญญาณกราวด์ของทางเดินสัญญาณทั้งหมด โดยการเชื่อมกราวด์ทุกอย่างมาที่ขั้วกราวด์นี้ ใครเคยใช้อุปกรณ์เสริมพวกกราวด์ลอยคงพอนึกภาพออก จริงๆ เรื่องแบบนี้ยังมีวิธีการต่อเสริมเข้าไปอีก คือ ระบบสายไฟเอซี หรืออุปกรณ์ต้นทางอื่นๆ ที่จะใช้ ต้องไม่ได้เชื่อมต่อกราวด์ครับ แล้วให้กราวด์ของสัญญาณหลัง Pass Labs INT-250 เป็นจุดส่วนรวมของกราวด์แทน เสียงก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีกครับ ไม่ว่าเรื่องของความนิ่ง ความสงัด เวทีเสียง โฟกัส อิมเมจ ก็จะดีขึ้นตามมาอีก แต่เรื่องพวกนี้บางครั้งก็ต้องแสดงให้เห็น ผมขอเก็บเป็นการบ้าน อาจจะนำเสนอในแง่ของการบรรยายบวกการสาธิตให้รับรู้กันในงาน BAV HI-END SHOW 2018 นะครับ 

คุณภาพเสียง

ลำโพงเมื่อถูกขับด้วยอินทิเกรตแอมป์ซึ่งมีสมรรถนะสูงขึ้น ก็จะทำให้เห็นศักยภาพของลำโพงมากยิ่งขึ้น ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อ Paradigm Persona B ได้จับคู่กับ Pass Labs INT-250 คุณภาพเสียงของลำโพงถูกยกระดับขึ้นไปสู่ลำโพง World Class มากยิ่งขึ้น คุณภาพเสียงทุกด้านดีขึ้นอย่างน่าแปลกใจ อีกทั้งยังรู้สึกเสมือนว่าแต่ละเสียงไม่ได้ออกมาจากลำโพงเลย แน่นอนเมื่อคุณภาพเสียงที่ได้เปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะโลว์เบสของลำโพงดีขึ้นอย่างมากมาย เมื่อโลว์เบสดีขึ้น ผมต้องขยับหาตำแหน่งเหมาะสมของลำโพงใหม่ เพราะ ณ ตำแหน่งเดิม เสียงจะแออัดตรงกลางอยู่บ้าง เวทีหลังจะแน่นๆ อยู่สักหน่อย และเสียงจากลำโพงสามารถหาตำแหน่งเพื่อให้เสียงออกมาใหญ่กว่าเดิมได้อีก 

เรื่องตรงนี้ ผมย้ำบ่อยครั้งช่วงหลังๆ ทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนอินทิเกรตแอมป์ เพาเวอร์แอมป์ สายไฟ หรือเพิ่มเติมอะไรลงไปในส่วนของระบบไฟฟ้าเข้ามาในซิสเต็ม หากโลว์เบสเปลี่ยน ตำแหน่งการวางลำโพงจะต้องตรวจสอบอีกครั้ง ว่ายังคงใช่ตำแหน่งเดิมหรือไม่ 

ความประทับใจแรกที่เกิดขึ้นเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วก็คือ Pass Labs INT-250 สามารถทำให้เสียงที่ได้ยินออกมาจากลำโพงเสมือนว่าไม่ได้ดังออกมาจากลำโพงเลย ราวกับว่าจุดกำเนิดของเสียงเกิดจากพื้นที่ว่างของห้องที่เรามองเห็นอยู่ตรงหน้าซึ่งกระจายอยู่รอบๆ ลำโพงนั่นเอง แต่ละโน้ตแต่ละเสียงล่องลอยอย่างอิสระ เสียงหลุดจากตู้จริงๆ เหมือนว่าในห้องไม่ได้มีลำโพงอยู่เลย บางครั้งก็อดแปลกใจไม่ได้ เบสใหญ่เกินกว่าจะเกิดจากลำโพงวางขาตั้งขนาดนี้ พละกำลังและความหนักแน่นของเบส ดังกับมีการซ่อนซับวูฟเฟอร์ไว้ในห้อง

เริ่มต้นฟังอย่างจริงจัง จากแผ่นซีดีเพลงคลาสสิกของค่าย Reference Recordings (RR) นักเล่นที่พิสมัยความโอ่อ่าของสนามเสียง บอกได้เลยว่าจะต้องพึงพอใจในอินทเกรตแอมป์ Pass Labs INT-250 เป็นอย่างมาก เพราะสนามเสียงที่ได้นั้น กว้างและลึกมาก จนไม่รู้สึกว่าผนังหลังด้านหลังและด้านข้างจะเป็นอุปสรรคสกัดความกว้างและลึกของเวทีเสียงให้อยู่เพียงแต่ในห้องเท่านั้น สนามเสียงแผ่กว้างและลึกทะลุผนังด้านหลังและด้านข้างออกไปอีก มิติ เวทีเสียง สุดยอดมาก หลุดเลยออกมาวางตัวเป็นชั้นๆ อย่างชัดเจนมาก ไม่ใช้เด่นเฉพาะด้านกว้างและลึกอย่างเดียว มิติเสียงสูงต่ำก็ยังดีขึ้นกว่าเดิมอีก จากเสียงดนตรีซึ่งเมื่อก่อนได้ยินความสูงจากเสียงระดับนี้ แต่ Pass Labs INT-250 ทำให้ความสูงที่เคยได้ยินเคยรู้สึกนั้นสูงขึ้นไปอีก

นั่นเป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น ความโดดเด่นและคุณภาพเสียงของ Pass Labs INT-250 ยังมีอีกเยอะ

ความโดดเด่นต่อมาก็คือ ไดนามิกของเสียงครับ ผมเคยเจออินทิเกรตแอมป์ที่แพงกว่าแต่น่าแปลกว่าไดนามิกเรนจ์ของเสียงไม่ได้เปิดกว้างมากมายอย่าง Pass Labs INT-250 ต้องยอมรับว่ายาแรงสำหรับ Pass Labs INT-250 ตัวนี้คือ ไดนามิกนี่แหละครับ หากจะเทียบในราคาที่เท่าเทียมกัน บอกได้เลย ผมยังหาอินทิเกรตแอมป์ที่ให้ไดนามิกของเสียงออกมาอย่าง Pass Labs INT-250 ไม่เจอเลย ไม่ว่าอินทิเกรตแอมป์คลาส D เจ๋งๆ หรืออินทิเกรตแอมป์หลอดก็ตาม พูดกันตรงๆ ไม่ได้เยินยอ ณ ตอนนี้หาคู่เทียบ Pass Labs INT-250 ได้ยาก และผมก็ยังเห็นว่าปรีแอมป์ เพาเวอร์แอมป์ บางคู่ ราคาแพงกว่าก็ยังให้ไม่ได้อย่าง Pass Labs INT-250 เช่นกัน แนวคิดที่ว่าเล่นแยกชิ้นปรีแอมป์-เพาเวอร์แอมป์ แล้วให้คุณภาพเสียงดีกว่าอินทิเกรตแอมป์ ทุกวันนี้อาจใช้ไม่ได้แล้วเช่นกัน

อย่าลืมนะครับ ว่าสิ่งที่ผมแนะนำเอาไว้ก่อนหน้านี้ คือการเลือกสายลำโพงที่เหมาะสม และสายไฟเอซีที่แม็ตช์กันนั้น ยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญไม่น้อย หากใช้ขนาดของสายลำโพงเล็กลงกว่าที่แนะนำ บางอย่างก็อาจจะถูกลดทอนลงไปบ้าง ตามแต่เหตุปัจจัยที่เลือกนำมาใช้งานร่วมกับ Pass Labs INT-250 

แผ่นซีดี Dvorak, Symphony No.9 “From the New World”, London Symphony Orchestra, Istvan Kertesz แผ่นนี้ได้รับการแนะนำใน PENGUIN GUID TO CDs ด้วย แผ่นซีดีแผ่นนี้ หากอินทิเกรตแอมป์ไม่สามารถตอบสนองไดนามิกเรนจ์ของเสียงได้ดีแล้ว โทนเสียงก็จะออกมาเนือยๆ ต้องมานั้นลุ้นเสียงตรงนั้นตรงนี้จะออกมาหรือเปล่าพีคเสียงตรงนี้จะได้ไหม หากให้ออกมาไม่ได้ ฟังแล้วรู้สึกว่าพีคของเสียงใกล้เคียงกัน ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ก็จะทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ แต่เมื่อไดนามิกเรนจ์ของเสียงมันกว้าง สามารถสร้างความแตกต่างของแต่ละเสียงได้อย่างชัดเจน ตรงนี้แหละที่ Pass Labs INT-250 ยิ่งสร้างความประทับใจอย่างมาก 

ลองนึกดูครับ ในสนามเสียงที่เราได้ยินนั้น เราสามารถสัมผัสถึงพีคเสียงของเครื่องดนตรีที่กระจายดังขึ้นมาแตกต่างอย่างชัดเจน ไม่ได้มีโทนเสียงที่ใกล้เคียงกัน ก็จะเกิดความไพเราะและน่าฟังมากยิ่งขึ้น เข้าถึงเรื่องราวทางดนตรีได้มากกว่าเก่าถามว่าหากไดนามิกไม่ได้เปิด โทนเสียงจะเป็นอย่างไร ก็จะออกมาโทนหม่นๆ อึมครึม ฟังแล้วอึดอัด เนือยๆ เสียงไม่เปิดเท่าที่ควร อีกแผ่นหนึ่งที่ใช้ทดสอบไดนามิกเรนจ์ของเสียงคือ แผ่นของ Rickie Lee Jones นี่แหละ 

ไม่เพียงเท่านั้น การแยกแยะของเสียงต่างๆ ก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเด็ดขาด ที่สำคัญคือ ความเข้มและน้ำหนักของเนื้อเสียง ทุกเสียงนั้นแข็งแรงมาก ไม่ได้รู้สึกว่าย่านความถี่เสียงใดดูอ่อนแรงลงเลย แผ่นซีดีของ Dvorak นี้ ผมเคยฟังจากอินทิเกรตแอมป์หลอดมาก่อน เสียงจากแอมป์หลอดให้สนามเสียงกว้างและเปิดโล่ง เพียงแต่น้ำหนักของเสียงเครื่องดนตรีต่างๆ และความแข็งแรงของแต่ละเสียงที่เกิดขึ้นในสนามเสียงไม่สามารถให้เทียบเท่าPass Labs INT-250 ได้เลย ไม่ว่าจะเรื่องของน้ำหนัก ไดนามิกหัวเสียง และความเข้มของมวลเสียง ความเข้มข้นหัวโน้ตเสียงนั้น Pass Labs INT-250 ให้ความกระชับ หรือมีมวลของเสียงเข้มข้นมากกว่าขณะที่แอมป์หลอดฟังเหมือนเสียงหนาใหญ่ แต่ไม่กระชับ และการดีดตัวไดนามิกของเสียงนั้นออกจะนุ่มไปด้วยซ้ำไป

ส่วนใหญ่หากจะวัดว่าอินทิเกรตแอมป์ตัวไหนดีกว่ากัน ผมมักจะชอบวัดในเรื่องนี้ เพราะอินทิเกรตแอมป์หลายตัว หรือแม้แต่เพาเวอร์แอมป์ก็ตาม เมื่อเราฟังเพลงคลาสิกแล้วมีเสียงดนตรีโหมขึ้นมาพร้อมๆ กัน ลองสังเกตดูว่าไดนามิกหัวเสียงโน้ตที่เราได้ยินนั้นออกมาในแนวฟังดูนุ่มนวลหรือเปล่าและพีคไดนามิกของเสียงที่ออกมาเป็นเช่นไร

แผ่นซีดี Jennnifer Warnes, The Wall แผ่นนี้มีเสียงเครื่องดนตรีที่หลากหลายมากทีเดียว ก่อนหน้านี้ ผมฟังแผ่นนี้กับอินทิเกรตแอมป์หลอด เลยยังจำเสียงแอมป์หลอดที่ใช้ร่วมกับลำโพง Paradigm Persona B ได้อยู่

เสียงที่ Pass Labs INT-250 สร้างความแตกต่างเหนืออินทิเกรตแอมป์หลอดก็คือ ความเข้มแข็งของเสียงตั้งแต่ย่านความถี่ต่ำไปยังย่านความถี่สูงเลยทีเดียว มวลของเสียงแต่ละอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์ กลอง เบส เปียโน และ ไวโอลิน แข็งแรง อย่างที่ควรจะเป็นตามธรรมชาติของเสียงจริงๆ หรือความเข้มของมวลเสียงซึ่งเป็นความถี่เสียงมูลฐานของเสียงดนตรีนั้น แล้วค่อยๆ เฟดเอาต์ออกไปตามโครงสร้างฮาร์มอนิกส์ของเสียงทำให้เราเข้าถึงความเป็นธรรมชาติของเสียงจริงๆ ความเข้มแข็งแรงของเสียงเป็นอะไรที่น่ายกย่องอย่างมาก ลองดูครับ ส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงความถี่ต่ำแล้ว อินทิเกรตแอมป์หลายตัวมักจะให้ความหนักแน่นของความถี่ต่ำและความถี่กลางตอนล่างมากกว่าความถี่เสียงสูง

หากนำแอมป์หลอดไปใช้กับลำโพงอื่นทั่วไป ซึ่งไม่ใช่ลำโพงฮอร์น เมื่อพูดถึงความเข้มของเสียงนั้นจะตกไปในย่านความถี่ต่ำมากกว่าย่านความถี่ด้านอื่นๆ แต่ถ้าอยากให้แอมป์หลอดมีเสียงใหญ่ เข้ม แข็งแรง ก็ต้องเล่นลำโพงฮอร์น เพราะพื้นฐานของลำโพงฮอร์น โดยเฉพาะถ้าเป็นลำโพงฮอร์นแนววินเทจจะค่อนข้างมีขนาดที่ใหญ่มากๆ เสียงจึงใหญ่กว่าเข้มกว่าแอมป์หลอดจะให้เสียงใหญ่ เข้มแข็งแรง จึงต้องใช้ส่วนประกอบของลำโพงเข้ามาช่วย

แต่ในกรณีของ Pass Labs INT-250 ตัวประกอบที่จะทำให้เสียงออกมาใหญ่ เข้มข้นและแข็งแรงนั้น ไม่ได้เกิดจากลำโพงเพียงอย่างเดียว กว่า70% เกิดจากศักยภาพตัวอินทิเกรตแอมป์ล้วนๆ ที่ผลักดันศักยภาพของลำโพงออกมาได้อย่างเต็มที่ อย่าว่าแต่ Pradigm Persona B เลย แม้แต่ Quad 22L เมื่อเล่นกับ Pass Labs INT-250 เสียงจาก Quad 22L ก็ใหญ่แข็งแรงเกินกว่าไปกว่าที่เคยได้ยินมากๆ ฟังแล้วหลงรักใน Quad 22L อีกเยอะเลย

อย่าเข้าใจผิดว่าผมจะบอกว่าอินทิเกรตแอมป์ Pass Labs INT-250 จะทำให้เสียงลำโพงทั่วไปใหญ่เหมือนลำโพงฮอร์นตัวใหญ่ๆ เพียงแต่เวลาฟังเพลงจากแผ่น Elvis 24 Karat Hits แล้ว รู้สึกว่าบุคลิกของ เสียงกีตาร์ เสียงร้อง เสียงดนตรี ให้เสียงออกมาใหญ่ เข้ม และแข็งแรง เหมือนที่เคยฟังจากซิสเต็มแอมป์หลอดเล่นกับลำโพงฮอร์นวินเทจคู่ละหลายล้านเลย

สไตล์เสียงแบบนี้พบได้จาก Pass Labs INT-250 เท่านั้น ถามว่าจะหาอินทิเกรตแอมป์ตัวอื่นล่ะ จะให้ได้หรือเปล่าผมไม่แน่ใจนะครับ อินทิเกรตแอมป์ตัวอื่นจะเป็นอย่างไร แต่อินทิเกรตแอมป์ที่ผมได้ลองฟังมาทั้งหมด ไม่ว่าจะหลักหมื่นหรือหลักแสนต้น แสนกลางๆ หลายๆ ตัว ผมยังไม่ได้ยินเสียงเทียบเท่ากับ Pass Labs INT-250 เลย แม้กระทั่งชุดแยกชิ้นปรีแอมป์-เพาเวอร์แอมป์ ก็ยังยากจะให้เสียงออกมาได้อย่างนี้

สไตล์เสียงแบบนี้ทำให้ฟังแล้วอึดอัดไปหรือเปล่าเพราะเสียงออกมาแน่นหนักเกินไป คำตอบคือ ไม่เลย เพราะ Pass Labs INT-250 ไม่ได้ทำให้เสียงฟังดูตึงแน่นหนักไปทั้งหมด เพียงแต่ความตึงแน่นหนักก็เป็นลักษณะเสียงดนตรีที่ถูกบันทึกมาอยู่แล้ว คือเสียงที่มีอยู่แล้วจากซอฟต์แวร์ที่ใช้งาน ไม่ได้บูสต์หรือแต่งให้เด่นขึ้นมาเลย

เมื่อเปลี่ยนแนวเพลง เสียงก็เปลี่ยนไปตามซอฟต์แวร์ที่ใช้งาน เพียงแต่ Pass Labs INT-250 ทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงของเสียงมากยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง เข้าใกล้ในความเป็นธรรมชาติของเสียง ทั้งความเงียบและความสงัด

ความโดดเด่นไม่ได้อยู่ที่โทนเสียงใดโทนเสียงหนึ่ง ทุกเสียงของทุกเครื่องดนตรีคือความสมจริงสมจังทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น เสียงเปียโน อิมแพ็คของเสียง ทรานเชี้ยนต์ เวลากดคีย์เปียโน ความกังวาน ฮาร์มอนิกส์ เหมือนจริงมากๆ เวลาฟังเพลงที่มีเสียงเปียโนบรรเลงโดดๆ แล้วเปิดโวลุ่มดังขึ้นมาสักหน่อย เสียงที่ได้ยินเสมือนมีคนเล่นเปียโนจริงๆ ในห้องเลย เสียงเหมือนจริงมากๆ หรือจะหันไปฟังเพลงแจ๊ส เอาเป็นว่าผมไม่ต้องควานหาลำโพงฮอร์นและแอมป์หลอด เพียงซิสเต็มขนาดนี้ก็ได้ยินเสียงเป่าแซ็กโซโฟนอย่างยอดเยี่ยมแล้ว หรือเสียงเคาะพวกเครื่องเคาะทองเหลือง เสียงดังออกมาใสกังวานมากๆ

จะเห็นว่าเที่ยวนี้ผมไม่ได้เอ่ยถึงเสียงร้องเลย เพราะยังหาสไตล์เสียงของเสียงร้องที่ได้ยินไม่ได้ ที่ไม่สามารถนิยามเสียงร้องได้ก็เพราะว่าเสียงร้องนั้นแปรเปลี่ยนไปตามแผ่น ตามคุณภาพของนักร้อง Pass Labs INT-250 ไม่ได้แต่งเติมหรือดัดเสียงของนักร้องให้แปรเปลี่ยนไปเลย สุดยอดมากๆ

อินทิเกรตแอมป์ระดับอ้างอิง

อินทเกรตแอมป์ Pass Labs INT-250 ทำให้เราลืมไปเลยว่าถ้าต้องการเสียงดีมีคุณภาพนั้นต้องเล่นชุดแยกชิ้นปรีแอมป์ เพาเวอร์แอมป์เท่านั้น เพราะ Pass Labs INT-250 ให้เสียงไม่ได้แตกต่าง หรือด้อยกว่าชุดปรีแอมป์เพาเวอร์แอมป์เลย

เมื่อกวาดสายตาเหลือบดูลิสต์ในรายชื่ออินทิเกรตแอมป์ที่เคยฟังมายังไม่มีตัวไหนที่ให้เสียงได้อย่าง Pass Labs INT-250 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายละเอียด ความกว้าง ลึก น้ำหนักเสียง และความเป็นธรรมชาติ 

โดยน้ำหนักเสียงที่ให้ออกมานั้นไม่พบความหยาบกร้านของเสียงเลย หรือแม้แต่ความเกรี้ยวกราดของเสียงแหลมตอนบนก็ตาม ผมชอบในฮาร์มอนิกส์ที่เป็นธรรมชาติของเสียงมากๆ และเบสลึกที่ซ่อนอยู่ภายในโครงสร้างของเครื่องดนตรีก็สามารถสัมผัสถึงพลังงานที่ซ่อนเร้นได้อย่างเด่นชัด 

อย่าลืมปัจจัยที่สำคัญสองเรื่อง คือ Pass Labs INT-250 ไม่เหมาะกับลำโพงความไวสูงๆ ไม่ควรเล่นกับลำโพงที่ความไวเกินกว่า89dB สองก็คือ สายลำโพงควรมีหน้าตัดตัวนำไม่น้อยกว่า6 sq.mm 

ในแง่ของความถึกคงทน เชื่อได้เลยครับ หากเครื่องใดผ่านการทดสอบจากผมก็เสมือนการรับรองความถึกคงทนกลายๆ เพราะการเปิดอย่างต่อเนื่องเพื่อดูการจัดการในเรื่องการระบายความร้อนนั้นเป็นอย่างไร สามารถบ่งบอกถึงความถึกคงทนได้เป็นอย่างดี Pass Labs INT-250 มีแผ่นฮีตซิงก์ขนาดใหญ่ขนาบทั้ง 2 ข้าง ฉะนั้นเรื่องการระบายความร้อนจากเครื่องเชื่อถือได้ว่ามีมาตรฐาน และสามารถระบายความร้อนได้ดีแน่นอน ส่วนใหญ่เวลาซื้ออินทิเกรตแอมป์หรือเพาเวอร์แอมป์ ผมจะดูเรื่องนี้ก่อนอย่างอื่นเลย นั่นก็ย่อมแสดงว่าเรื่องการระบายความร้อนของเครื่องนี้ สำคัญมากพอๆ กับคุณภาพเสียงเลย

แต่ถ้าเอาเฉพาะเรื่องคุณภาพเสียงเป็นที่ตั้ง ขอบอกว่า“Pass Labs INT-250 is the best of the best” ครับผม. ADP

ราคา 440,000 บาท

นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บริษัท KS SONSGROUP จำกัด 
โทร. 0-2276-3030

นิตยสาร AUDIOPHILE VIDEOPHILE ฉบับที่ 243