ธีรวัฒน์

ธีรวัฒน์ โชติสุต, teerawatj@hotmail.com

ผมนับถือความกล้าของ ENIGMAcoustics อย่างมาก ซึ่งกล้าผลิต ENIGMA Sopranino Super Tweeter ออกมาเป็นสินค้าตัวแรกรุ่นเดียวอย่างเดียว ก่อนจะใช้เวลาอีกหลายปีจึงมีลำโพงวางหิ้งออกตามมา ผมเชื่อว่าไม่มีใครกล้าผลิตสินค้าอย่างเดียวรุ่นเดียวมาก่อนเลยแน่ๆ ยิ่งไม่ใช้ลำโพงวางหิ้งแต่เริ่มต้นที่ Super Tweeter ถือว่าเป็นงานที่หินมาก แต่ Enigma Sopranino ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการเครื่องเสียงระดับโลกขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดมาก่อน ได้รับรางวัลและการชื่นชมยอมรับมากมาย ส่วนหนึ่งคงมาจาก ENIGMAcoustics มั่นใจมากๆ ว่า ตัว ENIGMA Sopranino นั้นจะสร้างความแตกต่างจาก Super Tweeter แบบเดิมๆ โดยสิ้นเชิง

            ความกล้าที่สองคือ ในแง่ของ Super Tweeter ไม่มีใครกล้าจับลำโพงแบบ Electrostatic มาทำแน่ๆ เพราะลำโพง Electrostatic นั้นต้องมีไฟมาเลี้ยงอีกครั้งหนึ่ง แต่ ENIGMA Sopranino นั้นไม่ต้องใช้ไฟเลี้ยงจากภายนอกเลย ไม่ต้องพึ่งไฟฟ้า 230 V ไปเลี้ยงไดอะแฟรมแบบลำโพง Electrostatic ทั่วไป ทาง ENIGMAcoustics บอกว่าจะเป็นมีไฟเลี้ยงในตัวเอง ซึ่งเขาเรียกว่า Electret Technology เทคโนโลยีนี้ทางไต้หวันเป็นคนจดสิทธิบัตร และ ENIGMAcoustics ก็นำมาต่อยอดใช้กับ ENIGMA Sopranino อีกครั้งหนึ่ง

อธิบายหลักการ Electret แบบง่ายๆ คือ วัสดุที่ไม่ต้องใช้ไฟเลี้ยงเนื่องจากตัววัสดุที่ใช้มีการประจุไฟฟ้าอย่างถาวรแล้ว Electret ทำจากวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้าและมีประจุไฟฟ้าที่วัสดุ Electret มาจาก Electrostatic และ Magnet รวมกัน ENIGMA Sopranino จึงใช้แผ่นฟิล์มซึ่งคือตัวอินดักทีฟพาเนลดึงสัญญาณคลื่นเสียงผ่านขั้วลำโพง Jumper Cardas เพื่อสร้างไฟฟ้าก่อให้เกิดเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนไดอะแฟรม ซึ่งเป็นแนวคิดที่สุดยอดแห่งการออกแบบจริงๆ

ในบรรดา Super Tweeter ที่ผมเคยสัมผัสแบบแกะกล่องใหม่ซิงๆ เปิดกล่องกันเลยนั้น ENIGMA Sopranino จัดทำได้อย่างหรูหราสมราคาค่าตัวอย่างยิ่ง ตัว ENIGMA Sopranino จะอยู่ในกล่องไม้อีกชั้นหนึ่งและจะมีถุงมือมาให้ด้วยเพื่อสวมใส่ขณะจับ ENIGMA Sopranino

ENIGMA Sopranino เป็น Super Tweeter ที่ใช้งานง่ายไม่ค่อยมียุ่งยาก จะมีปุ่มปรับจุดตัด Crossover ให้เลือก 3 ค่าคือ High (12kHz), Mid (10kHz) และ Low (8kHz) ปุ่มปรับ Gain 2 ค่าคือ 0dB และ -3dB ความต้านทานปกติ 4 โอห์มต่ำสุด 3 โอห์ม ความไว 90

เซ็ตอัพ

            ในการเซ็ตอัพ ENIGMA Sopranino นั้น แรกเริ่มเมื่อแกะกล่องใหม่ๆ ผมอยากแนะนำว่าอย่าเพิ่งไปให้ความสนใจในเรื่องของการเซ็ตอัพมากนัก คือให้วางบนตัวลำโพงหลักเป็นการชั่วคราวไปก่อน  เปิดฟังเพลงเล่นไปเรื่อยๆ เผาหัวเบิร์นไปสัก 100 – 200 ชั่วโมง แต่ถ้าจะให้ดีก็สัก 200 ชั่วโมง ผมมองว่าเสียงจะเริ่มนิ่งและมีความเสถียรมากยิ่งขึ้น แล้วค่อยเริ่มมาเซ็ตอัพ ENIGMA Sopranino อย่างจริงจัง 

แต่สำหรับท่านที่ใจร้อนรู้สึกว่า 200 ชั่วโมงนานไปขอแค่ 100 ชั่วโมงก่อนได้ไหม ก็น่าจะพอได้เช่นกัน แต่เมื่อเล่นไปสักพักใหญ่ๆ ควรลองพิจารณาดูว่ามีอะไรต้องปรับเพิ่มเซ็ตอัพต่ออีกหน่อยหรือเปล่า

            ส่วนเรื่องของสายลำโพงที่ใช้ในการเชื่อมต่อจากขั้วลำโพงหลักมายังตัว ENIGMA Sopranino นั้น ผมแนะนำว่าไม่ต้องใช้สายลำโพงเส้นใหญ่ๆ แค่ใช้สายลำโพงขนาด 2.5 sq.mm ไม่เกินนี้ก็พอแล้วครับ สายลำโพงใหญ่ไปก็ไม่ดี เล็กเกินไปก็ไม่เหมาะ แค่ 2.5 sq.mm เพียงพอแมตช์กันแล้วล่ะครับ  ถ้าเป็นไปได้ผมแนะนำเป็นสายลำโพงแบบสายฝอยจะดีกว่าแบบอื่น ในการทดสอบผมใช้สายลำโพงขนาด 2.5 sq.mm ที่ผมสั่งเข้ามาจากต่างประเทศนานแล้ว ชนิดของสายลำโพงจะเป็นสายทองแดงชุบเงิน

            เมื่อทุกอย่างพร้อมเตรียมลงมือเริ่มต้นเซ็ตอัพนั้น แนะนำเป็นอย่างยิ่งว่า อย่าเริ่มต้นโดยการเซ็ต ENIGMA Sopranino พร้อมกันทั้งสองข้าง ให้เริ่มต้นด้วยการเซ็ตอัพ ENIGMA Sopranino ด้านใดด้านหนึ่งก่อนจะทำให้การเซ็ตอัพไม่หลงทาง เท่าที่ผ่านมาไม่มีใครเซ็ตอัพ Super Tweeter พร้อมกันทั้งสองข้างแล้วให้ผลออกมาดีเลย ผมเองเซ็ตอัพ Super Tweeter ทีละข้างอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ล่าสุดในการเซ็ตอัพ Super Tweeter ของ TANNOY ST-200 Super Tweeter และ TANNOY Prestige GR Super Tweeter ผมก็ใช้หลักการแบบนี้เช่นกัน

ถ้านับที่ผมเซ็ตอัพ Super Tweeter ในอดีตมี PIONEER PT-R7, PT-R9, PT-R100, Townshend Super Tweeter, Murata Super Tweeter ใน Vox Olympian ก็ใช้วิธีเดียวกัน เนื่องจาก Super Tweeter นั้นเราเล่นเกี่ยวกับเฟสและช่วงคาบเกี่ยวเวลาของคลื่นเสียงลำโพงคู่หลัก เรื่องของเฟสนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อนและไวต่อการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก เพราะเฟสขยับไม่ได้ขยับแค่ความเหลื่อมล้ำทางเฟสของคลื่นสัญญาณแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้การคาบเกี่ยวทางเวลาของคลื่นเสียงคลาดเคลื่อนไปด้วย และที่สำคัญคือทำให้แอมปลิจูดของสัญญาณผิดเพี้ยนไปเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ผมเลยต้องย้ำเน้นในการเซ็ตอัพว่าควรจะเริ่มต้นเซ็ตอัพทีละข้างก่อน

แต่อย่าเพิ่งตกใจว่าจะยุ่งยาก กลัวจะเซ็ตอัพไม่ได้ ผมเชื่อว่านักเล่นทุกท่านถ้าเริ่มต้นตามที่แนะนำสามารถเซ็ตอัพเองได้ครับ เพราะ ENIGMA Sopranino นั้นค่อนข้าง User Friendly มากๆ คือเซ็ตอัพได้ค่อนข้างง่าย

            การปรับค่าพารามิเตอร์ต่างๆ เริ่มต้นนั้น ให้ปรับ Crossover ไว้ที่ High ก่อน คือตัดที่ 12kHz ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำสำหรับ Super Tweeter ที่ควรตัดมากกว่า 18kHz ขึ้น แต่เมื่อได้ลองฟังเสียงแล้วก็ถือว่าไม่ได้กระทบต่อบุคลิกเสียงย่านความถี่เสียงสูงของลำโพงคู่หลัก ในการทำสอบ ENIGMA Sopranino ผมใช้งานร่วมกับลำโพง Harbeth P3ESR เหตุผลที่ไม่แนะนำให้ตั้ง Crossover ของ ENIGMA Sopranino ต่ำว่าจุด High ลงมาที่ตำแหน่ง Mid (10kHz) และ Low (8kHz) นั้น เพราะว่าบุคลิกเสียงของ ENIGMA Sopranino จะเติมลงไปในเนื้อเสียงของลำโพงหลักมากเกินไป

            แม้ว่า ENIGMA เองนั้นได้แนะนำว่า การปรับ Crossover นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะเสียงย่านความถี่เสียงสูงของลำโพงคู่หลัก ถ้าต้องการให้ลำโพงคู่หลักมีลักษณะเสียงแหลมที่ใสเปิดโปร่งมากยิ่งขึ้นก็ปรับ Crossover ลงมาที่ตำแหน่ง Low หรือ Mid แต่ถ้าเสียงของลำโพงคู่หลักดีอยู่แล้ว พึงพอใจอยู่แล้ว ก็ปรับ Crossover ไปที่ตำแหน่ง High

            สำหรับลำโพง Harbeth P3ESR เมื่อผมลองปรับตำแหน่งของ Crossover ต่ำกว่าจุด High มาที่ตำแหน่ง Mid และ Low ความเปลี่ยนแปลงของเสียงที่รู้สึกได้ก็คือ เนื้อเสียงเพิ่มขึ้นแต่มาแออัดกันแน่นที่ช่วงความถี่เสียงกลาง ราวกับว่าเสียงกลางพุ่งโด่งขึ้นมาเลย ความต่อเนื่องของความถี่เสียงนั้น รู้สึกว่าไม่ได้ตอบสนองความถี่เสียงได้อย่างราบเรียบต่อเนื่องตลอดย่านความถี่เสียง เลยต้องปรับกลับมาที่ตำแหน่ง High เหมือนเดิม

            ส่วนปุ่มปรับ Gain นั้นมีให้ปรับสองค่าก็คือ “0dB” และ “-3dB” ต้องดูว่าย่านความถี่เสียงสูงพุ่งออกมามากเกินไปหรือเปล่า ถ้ารู้สึกว่าเสียงย่านความถี่เสียงสูงพุ่งออกมามากเกินก็ปรับลดไปที่ “-3dB ” ในการทดสอบซึ่งผมใช้งานร่วมกับลำโพง Harbeth P3ESR นั้น ผมปรับ Gain ไว้ที่ -3dB

            ตำแหน่งการวาง ENIGMA Sopranino เบื้องต้น แนะนำว่าให้เริ่มต้นวางให้ระนาบด้านหน้าของ ENIGMA Sopranino เสมอกับทวีตเตอร์ลำโพงคู่หลักก่อนแล้วลองฟังดูว่าเสียงเป็นอย่างไรบ้าง  หลังจากนั้นเทียบกับเสียงเมื่อวางให้ระนาบด้านหน้าของ ENIGMA Sopranino ถอยร่นลงไปจากระนาบทวีตเตอร์ด้านหน้า 2 เซนติเมตร แล้วเทียบกับเสียงเมื่อวาง ENIGMA Sopranino ล้ำออกมาด้านหน้าของทวีตเตอร์คู่หลัก 2 เซนติเมตร

            ทั้ง 3 ตำแหน่งลองฟังเทียบกันดูว่าตำแหน่งไหนให้เสียงออกมาน่าพึงพอใจมากที่สุดก็กลับไปที่ตำแหน่งนั้น แล้วเริ่มปรับจูนเสียงละเอียดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ข้อควรทำคือเราต้องจำเสียงก่อนใช้ Super Tweeter ให้ดีเสียก่อน เพราะเมื่อต่อ ENIGMA Sopranino ลงไปนั้น คุณภาพเสียงต้องยกระดับคุณภาพเสียงขึ้นมาในทุกด้าน ไม่ใช่ดีแค่ด้านใดด้านหนึ่งหรือแค่ช่วงความถี่เสียงใดเสียงหนึ่งเท่านั้น

            เมื่อได้ตำแหน่งที่ลงตัวดีแล้วก็วัดระยะเวลา ณ ตอนนี้ ใช้ระยะอ้างอิงตรงนี้ไปวาง ENIGMA Sopranino อีกด้านที่เหลือ แล้วฟังเสียงดูว่า คุณภาพเสียงดีขึ้นกว่าเดิมหรือมีอะไรแย่ลงหรือเปล่า จึงค่อยๆ ปรับจูนละเอียดอีกนิดหน่อย

            อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือโอกาสที่ตำแหน่งระยะต่างๆ ของ ENIGMA Sopranino จะไม่เท่ากันเป๊ะๆ ทั้งสองข้างนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ อย่าไปซีเรียสว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะนั่นคือการชดเชยความไม่สมบูรณ์ของห้อง เนื่องจากโอกาสที่ช่างก่อสร้างจะเทปูนได้ระนาบเสมอกันทั้งห้องหรือผนังทุกด้านราบเรียบเสมอกันทั้งด้านไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ยากมากๆ ฉะนั้นเรื่องการชดเชยนิดหน่อยถือเป็นเรื่องปกติมาก

            ในการทดสอบของผมนั้น ผมวาง ENIGMA Sopranino ล้ำหน้าออกมาจากขอบลำโพง Harbeth P3ESR ประมาณ 1 เซนติเมตร

คุณภาพเสียง

            การรายงานผลการทดลองเล่น Super Tweeter นั้น ส่วนใหญ่มักจะพูดถึงว่า Super Tweeter ช่วยให้เสียงของลำโพงคู่หลักดีขึ้นกว่าเดิมอย่างไรบ้าง ไม่ได้บอกว่า Super Tweeter ให้เสียงออกมาเป็นเช่นไร เพราะย่านความถี่เสียงสูงช่วงเรนจ์ที่ Super Tweeter ทำงาน อยู่ในช่วงที่หูของคนเราไม่ได้ยิน ทำได้แค่รู้สึก ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมจะรายงานผลในทำนองนี้ คือ ENIGMA Sopranino ช่วยให้ลำโพงคู่หลักเสียงเปลี่ยนแปลงเช่นไร

ถึงแม้หลายท่านจะแย้งว่าจุดตัดความถี่เสียงของ ENIGMA Sopranino นั้นตัดต่ำอยู่สักหน่อยคือ 12kHz เสียงหลักย่อมทะลุผ่าน ENIGMA Sopranino เช่นกัน แต่สัดส่วนความดังของเสียงเมื่อเทียบกัน ความเข้มของย่านความถี่เสียงสูงจะออกมาจากลำโพงคู่หลักมากกว่า จึงถือเสียว่าเสียงมาจาก Harbeth P3ESR เป็นส่วนใหญ่

            ลำโพง Harbeth P3ESR จะมีบุคลิกเสียงเฉพาะที่เป็นลักษณะเสียงของลำโพง Harbeth เสียเป็นส่วนใหญ่ คือมักจะจูนความถี่เสียงในย่านความถี่เสียง 100Hz – 200Hz ให้โด่งขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าดูกราฟตอบสนองความถี่ของลำโพงรุ่นนี้จะเห็น จึงทำให้เนื้อเสียงของย่านความถี่กลาง-ต่ำของลำโพงออกมาในลักษณะเหมือนจะอมเนื้ออยู่บ้าง ซึ่งลำโพง Harbeth P3ESR มีลักษณะเช่นนั้นเช่นกัน ความกระฉับกระเฉงของย่านความถี่ต่ำลงไป จึงรู้สึกว่าเหมือนคนเดินนวยนาดนิดๆ ถ้าเทียบกับลำโพงยี่ห้ออื่น อย่างเช่น ลำโพง Totem SKY หรือ Totem Signature One ซึ่งจะตอบสนองได้อย่างฉับไวมากกว่า

            ดังนั้นเมื่อนำ ENIGMA Sopranino มาใช้งานร่วมกับลำโพง Harbeth P3ESR ผมเลยจับประเด็นคุณภาพเสียงย่านความถี่กลางต่ำก่อน เพราะการใช้ Super Tweeter จะช่วยให้การตอบสนองความถี่เสียงของลำโพงคู่หลักดีขึ้นในทุกย่านความถี่เสียง และความถี่เสียงต่ำๆ ตอบสนองได้ดีขึ้นมาด้วยเช่นกัน

            แผ่นซีดีชุด Meet Me in London – Antonio Forcione & Sabina Sciubba เริ่มต้นด้วยเพลง Caruso เพลงนี้คือเพลงโปรดเพลงหนึ่งของผมทีเดียว คุณภาพเสียงเมื่อฟังในครั้งนี้ เสียงที่ได้ยินจากลำโพง Harbeth P3ESR แตกต่างไปจากเดิมมากทีเดียว จนรู้สึกว่าเสียงแบบนี้ไม่ใช่เสียงจากลำโพง Harbeth P3ESR คู่เดิม แต่คืออีกเวอร์ชั่นของลำโพงวางหิ้งระดับไฮเอ็นด์เลยทีเดียว

            เสียงกีต้าร์ตอนต้นเพลง ให้มวลเสียงตึงแน่นขึ้นมาอย่างมากทีเดียว เหมือนนักดนตรีใช้แรงในกดเส้นกีต้าร์เพิ่มมากขึ้น เสียงออกมาคมเข้มเน้นเนื้อๆ แน่นเปรี๊ยะมากๆ ไม่ใช่แค่เสียงจะคมหนักแน่นขึ้นเท่านั้น แต่รู้สึกได้ว่าสเกลของเสียงจะใหญ่กว่าเดิมอีกด้วย เสียงร้องออกมาเต็มมากยิ่งขึ้น บรรยากาศ ฮาร์โมนิกส์ของเสียงกีต้าร์ออกมาเต็มเลย

            เสียงร้อง Sabina Sciubba มีรายละเอียดของเสียงเพิ่มดีกรีในคุณภาพสูงขึ้นไปอีก การเก็บเสียง เสียงกลืนน้ำลายที่ดังออกมา ปลายเสียง ซ..ส… นั้นชัดเจนมากขึ้น ราวกับว่า Sabina อาศัยพลังเสียงร้องขับดันมาจากปอดมากขึ้น เนื้อเสียงร้องจึงมีมวลมากขึ้น เสียงมีพลังเพิ่มขึ้น จับประเด็นจากเสียงร้องที่ร้องโดยใช้พลังเสียงร้องแค่ครึ่งเดียวร้องไม่เต็มเสียง เนื้อเสียงยังคงมีเนื้อเสียงที่ดีกว่าเดิมชัดเจน เมื่อเล่นกับจังหวะเสียงร้องซึ่งมีเรนจ์เสียงที่แตกต่างกัน จึงได้ยินรายละเอียดของเสียงร้องตรงนี้ชัดเจนมากๆ ยิ่งช่วงที่เสียงร้องค่อยๆ ไต่เสียงจนเป็นแอดลิปแล้วมีเสียงกีต้าร์โปร่งและกีตาร์เบสเคาะตามมา รายละเอียดของเสียงตรงนี้ ENIGMA Sopranino ทำให้ลำโพง Harbeth P3ESR ถ่ายทอดคุณภาพเสียงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ฟังแล้วทึ่งในความเปลี่ยนแปลงของเสียงอย่างมาก

            ถามว่า ENIGMA Sopranino ทำให้บุคลิกเสียงของลำโพง Harbeth P3ESR เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมไหม 

ถ้าผมจะตอบ ผมก็จะตอบว่าไม่นะ เพราะบุคลิกเฉพาะของ Harbeth P3ESR ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ถ้าจะถามกลับว่า แล้วทำไมเราไม่คิดว่า ENIGMA Sopranino ทำให้เราสัมผัสคุณภาพเสียงที่แท้จริงของ Harbeth P3ESR บ้างล่ะ เพราะซิสเต็มไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย ทุกอย่างเหมือนเดิมหมด เพียงแต่เติม ENIGMA Sopranino เพิ่มเข้ามาเท่านั้นเอง

            ก่อนหน้านี้กับบางแผ่น อย่างเช่นแผ่นซีดีสังกัด TBM-SOUNDS, Reference Recordings 30th Anniversary Sampler และแผ่นซีดี Eagles- Hell Freezes Over (แผ่นดั้งเดิม 1994) อย่างเพลง Hotel California เวลาเล่นแล้วฟังผ่าน Harbeth P3ESR บางครั้งผมรู้สึกเหมือนอาการสำลักเบส คือเบสตอบสนองไม่ทัน เลยฟังแล้วรู้สึกเหมือนว่าตื้อๆ ฟังดูนุ่มๆ พิกล ยิ่งพอเปิดดังด้วยแล้ว บอกได้เลยครับว่าไปแทบไม่รอด เบสเกิดการบิดเบือน (Distortion) ฟังแล้วรู้สึกว่าแปร่งๆ

            แต่เมื่อหวนกลับมาฟังอีกครั้งในยามที่ Harbeth P3ESR ไม่ได้มาอย่างโดดเดี่ยว มี ENIGMA Sopranino ร่วมด้วย เสียงกลับต่างออกไปชนิดไม่เหลือปัญหาเดิมๆ ให้ต้องมานั่งกังวลต่อไปอีกเลย

            การตอบสนองของช่วงความถี่ต่ำดีขึ้นอย่างมาก เหมือนจะตอบสนองได้อย่างฉับไวมากยิ่งขึ้น รายละเอียดของเสียงช่วงดนตรีโหมขึ้นมาหลายชิ้นนั้น ไม่มีอาการรวนเลย ยังเก็บรักษาเรื่องของรายละเอียดและไดนามิกได้เป็นอย่างดี เบสก็ตอบสนองได้ดีมากขึ้น อาการของเสียงที่รู้สึกว่าผิดเพี้ยนตอบสนองได้ไม่ถูกต้องนั้น อาการนี้แทบไม่มีแล้ว

            ที่สำคัญคือสามารถเร่งเสียงได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งหากเทียบกับก่อนหน้านี้ ลำโพง Harbeth P3ESR เหมือนจะจำกัดความดังของเสียงคือไม่สามารถเปิดได้ดังมากนัก เมื่อได้ ENIGMA Sopranino มาช่วยเหมือนการตอบสนองความถี่เสียงของลำโพง Harbeth P3ESR มีความเป็นระเบียบแบบแผนมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ลำโพง Harbeth P3ESR สามารถเปิดได้ดังมากขึ้นกว่าเดิม เรนจ์เสียงกว้างมากยิ่งขึ้น เนื้อเสียงและพลังจึงมากขึ้นตามมาด้วย

            มาถึงตรงนี้ ก็น่าจะมีคำถามอีกคำถามขึ้นมาอีก ซึ่งคำถามนี้มักจะเจอบ่อยมากๆ

            คือความรู้สึกนึกถึงความคุ้มค่าว่า ในงบที่เท่ากัน คือลำโพงคู่หลัก+ราคาของ ENIGMA Sopranino เอาไปซื้อลำโพงรุ่นสูงขึ้นมาจะไม่ดีกว่าเหรอ คุณภาพเสียงไม่ดีกว่าเหรอ

            การเปรียบเทียบอย่างนี้โอกาสที่จะได้คุณภาพเสียงเหมือนกับการใช้ ENIGMA Sopranino นั้นแทบเกิดขึ้นไม่ได้เลย

            อย่าลืมนะครับ การขยับลำโพงแพงขึ้นไปอีกเท่าตัวในซีรีส์ที่สูงมากขึ้นหรือรุ่นอื่นที่สูงมากขึ้นนั้น สิ่งที่เราจ่ายเพิ่มกับคุณภาพเสียงที่ได้รับไม่เหมือนกับเงินที่จ่ายลงไป 100% ไม่เถียงว่าคุณภาพเสียงย่อมดีขึ้นแต่ไม่ได้ดีเทียบเท่าเงินที่ได้ลงทุน 100% ตามเม็ดเงินที่จ่ายเพิ่มไป ทำนองว่าจ่ายเพิ่มไปแสนกว่า เสียงได้เพิ่มมาถึงแสนกว่าตามที่จ่ายลงไปนั้น โอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก เพราะเสียงที่ดีขึ้นนับเป็น % และความรู้สึกพึงพอใจว่าจะมีมากขึ้นเท่าไรเท่านั้นเอง

            แต่การเพิ่ม ENIGMA Sopranino นั้นแตกต่างออกไป เพราะในแง่ของความพึงพอใจในความเปลี่ยนแปลงของเสียงนั้น สามารถสร้างความพึงพอใจได้มากกว่า ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องเสียงนั้น เป็นในทางที่ดีขึ้นในสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ที่เยอะมาก เกินกว่า 60%  และตัวเลขนี้ก็ไม่เป็นตัวเลขที่มโนด้วยเช่นกัน

เหตุผล

            ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงของเสียงนั้น ENIGMA Sopranino สร้างความเปลี่ยนแปลงของเสียงในทุกย่านความถี่เสียง ไม่ได้เจาะจงแค่ช่วงความถี่เสียงไหนช่วงหนึ่งเท่านั้น แต่ยกระดับในทุกย่านความถี่เสียง

            ในแง่ของเบสนั้นผมได้พูดถึงไปแล้ว ในแง่ของความถี่เสียงสูง ENIGMA Sopranino ผมให้เสียงแหลมของ Harbeth P3ESR นั้นใส พลิ้ว และเต็มไปด้วยรายละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว เพราะแทนที่จะให้ตัวทวีตเตอร์ทำงานตอบสนองตั้งแต่จุดตัดความถี่เสียงตามครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์กไปจนถึง 20,000Hz ก็มี ENIGMA Sopranino มาช่วยแบ่งภาระรับช่วงต่อตั้งแต่ความถี่ 12,000kHz เป็นต้นไปจนถึงความถี่ 40,000Hz

            เมื่อทวีตเตอร์ของลำโพง Harbeth P3ESR ไม่ได้แบกรับภาระตอบสนองความถี่ที่มากกว่า 12,000Hz จึงสามารถตอบสนองได้อย่างฉับไวและให้เนื้อเสียงที่ดีมากขึ้น รวมถึงรายละเอียดของเสียงออกมามากมายกว่าเดิม

            ดังนั้นเมื่อฟังเพลงหลายแผ่นจึงรู้สึกได้เลยว่า เสียงแหลมจากลำโพง Harbeth P3ESR แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างมาก เสียงใส เปิด รายละเอียดของเสียงระยิบระยับไปหมด เนื้อเสียงและรายละเอียดของเสียงเป็นอะไรที่สร้างความประทับใจได้อย่างสุดๆ เหมือนว่าเราเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่งของเสียงที่มีทั้งความถูกต้อง ทำให้เราสามารถสัมผัสถึงความสมจริงสมจังได้มากขึ้นกว่าเดิม

            เสมือนว่า เรากดความเป็น 4 มิติของเสียง เสียงเลยกว้างและลึกมากยิ่งขึ้น มิติเสียงสูงต่ำของเสียงขยายเต็มออกไปในทุกสัดส่วนของห้อง แต่ไม่ได้เป็นไปในแบบมิติหลอกๆ เป็นมิติของเสียงที่สมจริงสมจังอย่างมาก ยิ่งเป็นเสียงเครื่องเคาะโลหะหรือพวกโมบายต่างๆ บอกได้เลยว่า นี่คือเสียงที่ไม่เคยได้ยินจากลำโพง Harbeth P3ESR มาก่อนเลย เสียงละเอียด ชำแหละย่อยลงลึกลงไปในทุกระดับชั้น ส่วนบรรยากาศ ฮาร์โมนิกส์ต่างๆ ของเสียงนั้นก็รู้สึก สัมผัสได้มากกว่าเดิมอย่างมาก

               เสียงร้องนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย ดีดคุณภาพเสียงขึ้นไปอีกหลายขั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นเสียงโทนไหนคีย์ไหน อย่างที่ผมเคยเกริ่นไว้ว่า เมื่อลำโพงตอบสนองความถี่เสียงในการถ่ายทอดออกมาได้ดีมากขึ้น ถูกต้องมากขึ้น ทุกอย่างก็ดีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว ซึ่งสิ่งดีๆ ทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนซอร์ส เปลี่ยนแอมป์ เปลี่ยนลำโพงหรือเปลี่ยนสายต่างๆ แต่จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเติมเพิ่ม Super Tweeter เข้ามาอย่างเดียวเท่านั้น

            อย่าลืมนะครับว่า เสียงทุกเสียงของเครื่องดนตรีจริงๆนั้น ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากความถี่สูงเป็นอันดับแรกก่อนเสมอ อย่างเช่นเสียงกีต้าร์หรือเสียงเปียโน ความถี่แรกเริ่มจะเริ่มที่ความถี่สูงก่อนแล้ว เมื่อการสั่นคลายความถี่เสียงลงมาในช่วงที่ความถี่เสียงซึ่งหูเราสามารถได้ยินเสียงได้เราจึงได้ยินเสียงดนตรี ซึ่งช่วงเวลาการเกิดของช่วงความถี่เสียงสูงเกิดหน้านั้นเกิดเพียงแค่เสี้ยววินาที ลำโพงส่วนใหญ่เมื่อไม่ได้ Super Tweeter จะตอบสนองได้ไม่ทัน เพราะเกิดขึ้นเร็วมาก แต่เมื่อเราเติม Super Tweeter อย่าง Enigma Sopranino เข้ามา สัญญาณของเสียงอ้างอิงจึงสามารถอ้างอิงที่ความถี่สูงได้ ทำให้การตอบสนองความถี่เสียงลงมาจนถึงความถี่ต่ำนั้น มีความถูกต้องของสัญญาณมากยิ่งขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมเวลาเราใช้ Super Tweeter เสียงจึงดีขึ้นมาในทุกอย่างความถี่เสียงเลย

บทสรุป

ต้องยอมรับว่า ENIGMA Sopranino คือ Super Tweeter ซึ่งช่วยให้เราสัมผัสถึงคุณภาพเสียงในอุดมคติจากลำโพงทุกยี่ห้อ หากปราศจากตัว ENIGMA Sopranino Super Tweeter เราจะไม่มีทางเข้าถึงคุณภาพเสียงระดับนั้นได้เลย ENIGMA Sopranino ช่วยให้เราสามารถได้ยินเสียงซึ่งเราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ดังนั้นถ้าเราปฏิเสธว่า Super Tweeter ไม่ใช่คำตอบ ถามว่าเราจะเสียเวลาคว้านหาเสียงในอุดมคติไปเพื่ออะไร เพราะโจทย์นี่หากปราศจากซึ่ง Super Tweeter ไม่มีทางเจอคำตอบที่ใช่และสมบูรณ์แบบจริงๆ เลย

ENIGMA Sopranino คือการเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับลำโพงทุกคู่ ทั้งในแง่เสียงเสมือนจริง ความถูกต้องของเสียง ความเป็นดนตรี และความไพเราะของเสียงดนตรีอย่างแท้จริง แล้วจะยังปฏิเสธ Enigma Sopranino Super Tweeter กันอีกเหรอ…แน่ใจนะ. ADP

Specifications

Nominal impedance                                                   4 Ohms
Sensitivity (1m / 2.83V)                                               90dB (with 0 and -3 dB settings)
Crossover frequency (user selectable)                    8/10/12 kHz
Crossover slope                                                          -12dB/Octave
Frequency response                                                    8kHz – 40kHz ±3dB
Recommended input power to main system 50W
Dimensions (mm)                                                        181 (w) x 193 (h) x 207 (d)
Net weight                                                                  2.7 kg

ENIGMA Sopranino ราคา 120,000 บาท

นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บริษัท K. STUDIO จำกัด    
โทร. 085-489-7606