ธรรมนูญ ประทีปจินดา

ในวงการมอเตอร์สปอร์ตสนามแข่ง FormulaOne เราจะต้องมองถึงชื่อของทีมอย่าง Ferrari, Mercedes ซึ่งอาจหมายถึงเครื่องยนต์และตัวถังที่ใช้เป็นตัวเดียวกัน แต่ก็มีอยู่หลายทีมที่ใช้เครื่องยนต์ของสองเจ้าสำนักนี้ ส่วนนักแข่งอย่าง Sebastian Vettel, Hamilton หรือ Kimi Raikkonen คงรู้จักกันดีว่าเป็นนักแข่งซึ่งถือว่าอยู่แถวหน้าของวงการกันเลยทีเดียว แต่เออ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่จั่วหัวไว้ล่ะ

ทีนี้ กลับเข้ามาในแวดวงของเครื่องเสียงแนวดิจิทัลไม่ใส่แผ่น หรือประเภท file base digital audiophile โดยที่ CAS (Computer As Source) ถือเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ซึ่งได้ต่อยอดแตกไลน์ออกไปเป็น Music Server/Streamerหรือ Player/Renderer ออกไปมากมาย ที่แน่ๆ ต้องมีอาวุธหลักเป็น DAC (Digital to Analog Converter) ที่ว่าเด็ดนัก และมักต้องถามกันถึงความเก่งกล้าของ DAC Chip ที่ใช้เป็น Device อะไร ต้องถามถึงกันทุกทีสิน่า ยุคนี้ที่ป๊อปปูลาร์หน่อยก็หนีไม่พ้นของ Wolfson, Cirus Logic, Burrbrown, AKM และที่ขาดไม่ได้ก็คือ SABRE 32 ESS9018 เพราะ DAC Chip ตัวนี้มันป๊อปจริงๆ ใครๆ ก็ใช้ เป็น DAC 32 bitsเสียด้วย ทว่าปัจจุบันมีตัวเหนือกว่าขึ้นไปอีกแล้ว 

เคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่า ในเมื่อใช้ DAC Chip ตัวเดียวกัน แล้วทำไมให้เสียงไม่เหมือนกันเลย ทีนี้พอจะร้องอ๋อแล้วใช่ไหม! ที่จั่วหัวไว้คือ F1 ต่อให้รถดีเพียงไร แต่ถ้านักแข่งฝีมือไม่ถึงที่จะควบคุมมัน รวมถึงปัจจัยที่ยังมีอีกเยอะ ฉะนั้น ไม่ง่ายที่จะชนะได้

เมื่อมี Chip Maker (ผู้ผลิต Chip) อย่าง ESS Technology แล้ว ใช่ครับ… ผมหมายถึงก็ต้องมี DAC Maker (ผู้ผลิต DAC) มือฉมังมาทำให้มันเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นดีด้วย หาใช่ของดาดๆ ต้องบอกว่า ไม่ธรรมดาครับ ผู้ผลิตที่ใช้เทรดเนมว่า Resonessence Labs แบรนด์ใหม่จาก คุณทอมมี่ แห่ง Prestige Hi-Fi นำเข้ามาทำตลาดเอง ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันหน่อย

RESONESSENCE LABS

มาจากเทรดเนมของกลุ่ม design engineers รวมถึง investors ในแวดวง industry audio experts ในเรื่องของ DAC (Digital to Analog Converter) และ ADC (Analog to Digital Converter) design ซึ่งถือเป็นการนำผลงานวิจัยของผลิตภัณฑ์ไปใช้ในเชิงธุรกิจเป็นลำดับต้นๆ ที่ใช้ design จาก ESS Audio DAC และ ADC โดยตรง และจัดตั้งบริษัทขึ้น ชื่อว่า BCIC Designs Inc จดทะเบียนใน British Columbia ประเทศ Canada ผู้ก่อตั้งชื่อ Mr. Mark Mallinsonอดีตเคยเป็น Operations Director จาก ESS Technology ซึ่งคนที่ติดตามในแวดวงดิจิทัล ออดิโอ คงทราบดีว่า คือ DAC Chip Maker ที่มีเทคโนโลยี 32 bits แซงหน้าอุตสาหกรรมในกลุ่มเดียวกัน โดย Resonessence Labs มีเป้าหมายที่มุ่งเน้นในการพัฒนาวิจัยและผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงที่มีความแตกต่างจากผู้อื่น อีกทั้ง Martin น้องชายยังทำงานเป็น VP of R&D Design DNA ทำงานร่วมกับ OEM chip supplier และอุตสาหกรรมเครื่องเสียงในแคนาดา ซึ่งนาทีนี้ ใครจะรู้ลึกทุกแง่มุมใน ESS Audio DAC และ ADC Chip เท่า Resonessence Labs ล่ะ ในปี 2011 หลังตั้งบริษัทมาสองปี Resonessence Labs ก็ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวแรก ชื่อรุ่นว่า Invicta เป็น dual channel DAC ซึ่งกล้าพูดได้เต็มปากว่า ราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับคุณภาพที่สูง เป็นการสวนทางกันโดยสิ้นเชิง เพราะ Invicta สามารถสู้ได้กับ DAC ทุกตัวในราคาเดียวกัน ถือว่าเป็นการรีดเค้นศักยภาพของ Sabre DAC โดยผู้ที่รู้จริง ทำให้ Invicta กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในห้องบันทึกเสียง รวมถึงกลุ่มออดิโอไฟล์ไปแล้ว จากนั้นก็มีพลพรรคออกมา ไล่รองๆ ลงมาอีกหลายตัว หลายระดับราคา ซึ่งทำให้ลูกค้ามีทางเลือกกว้างขวางขึ้น จากนั้น Invicta ก็พัฒนาเป็น Invicta Pro จนล่าสุดก็อัพเกรดไปเป็น Invicta Mirus Pro เป็นรุ่นเรือธง ซึ่งใช้ DAC Chip ตัวล่าสุดคือ SABRE 32 (ESS9028PRO) นั่นเอง ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากปรัชญาดำเนินธุรกิจที่เน้นเอ็นจิเนียริ่งโดยแท้

“Our philosophy is simple: put together a team that includes world class audio engineers and design audio products without compromise.”

Mark Mallinson,
President Resonessence Labs

RESONESSENCE LABS: INVICTA MIRUS PRO 

Invicta Mirus Pro เป็น External DAC ที่ก้าว ข้ามแนวทางออกแบบเดิมๆ เพื่อนักฟังออดิโอไฟล์ ที่ฟังเครื่องเสียงแบบซีเรียสได้ใช้กับชุดเครื่องเสียงใน ห้องฟัง ไม่ต้องการฟังเพลงด้วยหูฟัง Invicta Mirus Pro อยู่ในสายพันธุ์สูงสุดของ Resonessence Labs ถือเป็น เจเนอเรชั่นที่สามของ Invicta รองลงมาก็ Veritas, Concero และ Herus ซึ่งก็ยังมีรุ่นย่อยลงไปอีก 

Invicta Mirus Pro ใช้ DAC Chip รุ่นสูงสุด ในวงการขณะนี้ คือ SABRE 32 (ESS9028PRO) หนึ่งตัว เป็น Multi DACs in One Chip (8 DACs ใน Chip เดียว) แปลว่า DAC Chip ตัวนี้สามารถใช้กับแอมป์มัลติแชนเนล ก็ยังได้ แต่นี่ใช้ 8 DACs เชื่อมวงจรแบบขนานต่อหนึ่งแช นเนลเท่านั้น ดังนั้น Invicta Mirus Pro จึงใช้ SABRE 32 (ESS9028PRO) ติดตั้งไว้ด้วย Hyper stream technology ถึงสองตัวสำหรับ stereo 2.0 channel จัดได้ว่าเป็น DAC ที่มี สมรรถนะสูงมาก มิเพียง Hardware แต่ต้องเขียน โปรแกรมรองรับมันด้วย ใช้งานได้หลากหลาย มาพร้อม Filter อีก 7 แบบ ที่เรียก advanced Resonessence filters จะต้องสนุกกับมันแน่ ถึงบอกว่า รถดี แต่นักขับไม่เก่ง… แล้วไง อย่าห่วงเลย ใครจะเปรี้ยวเท่าดีกว่า 

RESONESSENCE VALUE 

• นวัตกรรมใหม่ที่ฉีกกฎทางวิศวกรรม Digital Audio ให้ความแตกต่างจาก DAC แนวคิดเดิม 

• การออกแบบที่จะให้เสียงสงัด ไร้ซึ่ง ความเพี้ยน เสียงรบกวนใดๆ ให้เสียงมีไดนามิกส์ 

• ใช้ได้ทั้งเครื่องเสียงบ้าน รวมถึงในห้องบันทึก เสียงแบบมืออาชีพ 

• ออกแบบโครงสร้างตัวเครื่องโดย designers จาก IMWorks ร่วมกับวิศวกรของ Resonessence ผู้ซึ่งคุ้น รู้ลึกในจุดแข็งของ ESS Sabre DAC Chip เพื่อการออกแบบ รวมถึงควบคุมการผลิตจากโรงงาน ในแคนาดา 

• นอกจากคุณภาพเสียงดี ยังมีความคงทน ไร้กังวลเรื่องใช้งานได้ยาวๆ 

CHECK IN 

หลังจาก UnBoxed จากแพ็กกิ้งที่ดูดี มีถุงผ้า สวมทับมาอย่างดี มีคุณค่าตั้งแต่แรกเห็นแล้ว บนตัวเครื่องแบบ Half Size ตามพิมพ์นิยมของ DAC บ้านที่ทำไว้เพื่องานสตูดิโอด้วย ภายใต้ตัวถังโลหะสีดำ ด้านหน้าจะพบกับจอ OLED ฝังอยู่ตรงกลางบน หน้าปัดที่จะแสดงผลทั้งฟังก์ชั่น ชนิดของไฟล์เพลง รวมถึงชื่อเพลง ใต้จอมีปุ่มรูปไข่ 4 ปุ่ม ประกอบด้วย Pop Up เมนู/Directory, Rewind/Next, Forward, Filters ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบ สามารถเลือกจาก ตรงนี้ได้เลยแบบ On the fly 

ด้านซ้ายของหน้าปัดมีโลโก้เป็น LED เปลี่ยนสีได้ ขณะ Operation/Stand by ด้านขวาของจอดิสเพลย์ ด้านบนเป็นตำแหน่ง LED ดวงเล็กๆ ของดิสเพลย์ แสดงค่า Sampling Rate ไล่ตั้งแต่ 44.1, 48, 88.2, 96, 176.4, 192, 352.8, 384 kHz ถัดลงมาใต้ LED ดิสเพลย์เป็นตำแหน่งของ SD Card Reader Slot ถัดออกไปด้านขวาของหน้าปัดเป็นตำแหน่ง ของ Volume/Function select เป็นชนิด Jog Wheel ใครก็ตามที่เคยเล่นไอพอดคงไม่ยาก ก็ไม่มี อะไรมาก หมุนไปเรื่อยๆ กด Enter เมื่อต้องการ ก็เท่านั้น จะง่ายเลยถ้าต่อ HDMI ขึ้นจอ ก็จะเห็น ภาพกว้างของเมนูทั้งหมด มีรีโมตมาให้ด้วยนะ เหมาะกับความต้องการควบคุมระยะไกล แต่ถ้าตั้งโต๊ะ ทำงานก็ใช้มือหมุนแล้วกด ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ครับ

FLEXIBLE I/O

การเชื่อมต่อติดตั้งไว้ด้วย USB Audio 2.0/1.0, DSD over USB, SPDIF (2 x BNC, Optical), AES/EBU ทีเด็ดสุดตรงที่ด้านหน้าได้เตรียมช่องเสียบ SDCard reader ไว้ให้ด้วย ซึ่งเจ้าช่องนี้ทำให้สามารถอ่านไฟล์ใน SD Card สำหรับใช้งานได้สองกรณี คือ อัพเกรด Firmware รวมถึงเล่นเพลงจากไฟล์เพลงได้ทุกฟอร์แมตหลักๆ เช่น WAV, AIFF, FLAC รวมถึง DSD (DFF, DSF) โดยไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ ไม่ว่า Windows หรือ MAC 

และมาพร้อมกับ Balanced 4.80V Max และ Unbalanced (RCA) 2.40V Max ที่สามารถปรับแต่งค่าได้ด้วยดิจิทัลโวลุ่ม สำหรับ HDMI ใช้ต่อกับจอมอนิเตอร์ ส่วน SPDIF (Toslink) Output สามารถปิดเปิดการใช้งานได้ ถ้าไม่ต้องการ

Sampling Rate รองรับไฟล์ PCM 24 bits ทะลุ DXD 384 kS/S และ DSD64 จนถึง DSD128

ถ้าพูดถึง DAC สมัยนี้ก็ต้องมีช่องเสียบ USB กันทั้งสิ้น แต่ทราบหรือไม่ว่า มันไม่เหมือนกันหรอก สำหรับ USB receiver ถูกพัฒนาขึ้นเอง โดยใช้ Chip ของ Cypress ซึ่งมีฐานผลิตอยู่แถวแจ้งวัฒนะ บ้านเรานี่เอง ส่วน USB 2.0 driver ใช้ของ Thesycon เพื่อใช้บน Windows

IMPLEMENTATION, IMPLEMENTATION…

ส่วนสำคัญของ DAC ใช้ AD797 op-ampsเพื่อให้ได้กำลังขับออกไปยัง balanced output XLR (4.6V) หรือ single-ended output (2.3V)เพราะ Mallinson ไม่เชื่อว่าจะเป็น discrete หรือop-amp แต่เชื่อว่า กระบวนการคิด วงจรที่ถูกออกแบบเพื่อการนำไปใช้ให้ถูกต้อง ถูกที่ถูกทางจะได้ผลดีที่สุดต่างหาก เปรียบเสมือน F1 ถ้ารถดี นักขับเก่ง ควรจะชนะแน่ ยังไม่พูดถึงการปรับจูนเครื่องยนต์ แต่ถ้าวางแผนผิดพลาด ปรับแรงกด หรือเลือกยางผิด เอาแค่เลือกจังหวะเข้า Pit มันคือหายนะแล้ว

มันก็จริง ถ้าเราเลือกใช้อุปกรณ์ทุกชิ้นให้ดีที่สุดไว้ ต้องมั่นใจว่า มันทำงานร่วมกันได้ดีด้วย ถึงจะได้คุณภาพเสียงดีตามที่คาด เช่น อุตส่าห์เลือก clock คุณภาพสูง jitter ต่ำ มาวางลงบนบอร์ด มันไม่ได้หมายความว่าจะให้เสียงดีจริงเสมอไปหรอก ต้องรู้ด้วยว่า ควรจะวางมันตรงไหนจึงจะได้ผลตามเป้าหมายที่ต้องการ เมื่อสัญญาณไม่ถูกรบกวน ได้ความสงัดของ background noise ก็จะได้เสียงที่ดีเป็นธรรมชาติขึ้นนั่นเอง

HOOK UP 

ด้วยความที่ขนาดของ Invicta Mirus Pro เป็นขนาด Half Size ทำให้การใช้งานได้สองลักษณะ คือ ในห้องฟังหลักที่อัดไว้ด้วย Vitus RI100 ขับกับ Manger Zero Box และ REL S5i ซึ่งผมต่อพวงกับตัวต้นทาง Aurender N100 หรือไม่ก็ MACBook Air + Amarra 4 และ Audirvana Plus สำหรับสายก็มี Tchernov Reference AC Power 1.65 m, Tchernov Classic XS MK2 AC Power 2.65 m, Tchernov Classic USB A-B 1.65 m ส่วนบนโต๊ะ ทำงานมุมส่วนตัวต่อตรงกับ LS50 Wireless พร้อมจอ มอนิเตอร์ เพื่อเล่นไฟล์ใน SD card ซึ่งสามารถเล่นได้เอง โดยมิได้ต้องการคอมพิวเตอร์ เพลเยอร์ หรือ ฟรอนต์เอ็นด์ ใดๆ เลย ด้วยความที่เราต้องทำงานไปฟังเพลงไป ก็เลย จัดการต่อกับ MAC ในแบบ CAS (Computer As Source) ด้วยเลยครับ อ้อๆ ถ้าคุณใช้คอมพิวเตอร์แบบ Windows จำเป็นที่จะต้องลง Driver เสียก่อน โดยสามารถ Download ได้จาก http://www.resonessencelabs.com/thesycon-asynchronous-usb-audio-2-0-windows-driver/ แล้วติดตั้งเสียก่อน จึงค่อยต่อพ่วง ซึ่งอาจจะใช้ Roon, Jriver ก็ตามชอบล่ะครับ 

SET UP 

ทุกครั้งก่อนที่จะเปิดแอมป์ต้องตรวจสอบการ ตั้งค่าของ DAC เสียก่อน ในที่นี้คือ Mirus Pro เริ่มด้วยการกดปุ่มรูปไข่ใต้จอดิสเพลย์ตัวแรกซ้ายมือ ตัวนี้จะเป็น Home Position/Return ->Source Select ก็จะพบกับ (BNC1, BNC2, TOSLINK, AES/EBU, USB AUDIO, SD Card Audio จนถึง ‘INVICTA OPTION’) ทุกอย่างโอเคหมด แค่แปลกใจว่า ทำไมถึงเลือก BNC มาหว่า หรือว่าพวกในสตูฯ เขาใช้กันก็ไม่ทราบ 

‘INVICTA OTION’ ตรงนี้คือประตูของทุกฟังก์ชั่น อยากไฮไลต์ไว้ว่า ควรตรวจสอบดูสักนิด ว่าได้ตั้งค่า อะไรไว้บ้าง เอาประเด็นหลักๆ ที่ควรตั้งค่าก็แล้วกัน ส่วนอื่นก็เป็นปลีกย่อย ใช้เวลาไม่เกินห้านาทีเท่านั้น ใครๆ ก็ทำได้ ไม่ต้องการเซียนหรือกูรูใดๆ เสียด้วย เอาแค่นี้ มีดังนี้… 

1. ถ้าเราใช้อินทิเกรตแอมป์หรือปรีแอมป์ ก็ควร bypass การทำงานของ Volume ไปเสีย คือ Fixed Level: Enabled มิฉะนั้น เมื่อผมเพิ่มลดโวลุ่ม ของแอมป์ก็จะมีผลไปด้วย เนื่องจากใช้รีโมตของ Apple เหมือกัน แต่ถ้าจะใช้ฟังก์ชั่น Digital Volume ก็สามารถทำได้เช่นกัน 

2. Start Up Source: USB Audio จะเลือกตัวใดก็ได้ แต่ผมใช้บ่อย เปิดขึ้นมาก็เจอเลย 

3. USB Speed 1.0/2.0 ผมเลือก 2.0 เพราะ จะไปได้ไกลกว่า 

4. HDMI Out ต้อง Enable มิฉะนั้นจะไม่ สามารถแสดงภาพบนจอมอนิเตอร์ได้ 

5. Album Art: Draw All Types 

6. Asian Characters: Enabled 

7. Filter Type กดเลือกดูได้ เวลาเล่นจริง สามารถปรับเปลี่ยนจากปุ่มเลือกรูปไข่ตัวสุดท้าย แล้ว แต่ว่าจะชอบตัวใด ค่อยๆ ฟังเอา ทราบแต่เพียงว่า Filter สองตัวแรกเป็นฟีเจอร์ที่มากับ Sabre DAC อยู่แล้ว อีกห้าตัวเป็น Filter ทางทีมวิศวกรออกแบบ Customise ขึ้นมาเอง ต้องลองฟังกันแล้วล่ะ 

SHOWTIME

เมื่อตั้งค่าเรียบร้อย เสียบ SD Card ความจุ 64GB ที่ คุณทอมมี่ เตรียมมาให้ด้วย โดยไม่ใช้คอมฯ หรือเพลเยอร์ใดๆ เลย เมื่อทุกอย่างพร้อมก็เปิดแอมป์เลย เลือกที่ Source Select ไปที่ SD Card กด Enter ก็จะพบไฟล์เพลงที่อยู่ใน SD Card เลื่อนลงไปเรื่อยๆ โห! เพลงแจ๊สทั้งนั้น ไม่มีปัญหา แม้จะอ่อนด้อยนัก แต่ก็พอฟังได้อยู่ เหมือนรู้ใจว่า ผมคงอยากเทียบดูระหว่าง DSD64/DSD128 จะต่างกันอย่างไร พบว่ามีอัลบั้มครู Arne Domnerus: Jazz at the Pawnshop; NAXOS มีสอง Folder เป็น DSD64 และ DSD128 เสียด้วย ซึ่งดิสเพลย์ก็ขึ้นแสดงตรงกันว่าเป็น DSD128 ถึงแม้ฟังออกว่า DSD128 มีไดนามิกส์ดีกว่าก็ตาม แต่ที่เหมือนกันคือ ความไหลลื่น ไดนามิกส์ดี รายละเอียดเล็กๆ มาครบ ให้เสียงเบส กลองแน่นปึ้กๆ สแนร์พลิ้ว ระนาดฝรั่งก้องกังวาน ได้ยินเสียงลมจากแซ็กโซโฟน ให้เสียงสมจริง มีบรรยากาศมาก ฟังแบบ Near Field ได้ยินคนคุยกันในผับชัดมาก จะคุยอะไรกันนักหนา ทำไมไม่เคยสังเกต …555 ดนตรีน่าฟัง ฟังได้นานๆ หมดอัลบั้มไม่รู้ตัวเลย

ข้ามไปอัลบั้ม Daft Punk: RandomAccess Memories (24-88.2 kHz)FLAC อัลบั้มนี้ไม่หวงเบส Nathan East จัดเต็มมาเลยขอรับ กลองเบสแน่นเปรี๊ยะ จังหวะกระฉึกกระฉักแบบนี้ ฟังสนุกหายง่วงดีจัง

เปลี่ยนไปเป็น Source USB บ้าง ฟังเทียบด้วย Audirvana+ ซึ่งสามารถเล่นไฟล์ได้ทั้งจาก NAS และ Tidal เมื่อเล่นอัลบั้มจาก NAS เทียบกับ SD Card พบว่าSD Card ได้เปรียบความสงัดมากกว่า มีเหตุผลประกอบดังนี้ ในเมื่อ digital data ถูกสตรีมผ่านไปเก็บในหน่วยความจำ หรือ RAM เพื่อ buffer ไว้ แล้วจึงส่งไปถอดรหัส (Decode) แบบ FIFO (first-in-first-out) ไปยัง DAC ทาง I2S ซึ่งจุดนี้จะเห็นว่า SD card เป็นหนทางที่สั้นที่สุด ไร้ซึ่งการรบกวนจากภายนอกมากที่สุด และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ SD card reader ถูกเลือกให้เป็นทางเลือกของ data transportในยุคนี้ กลายเป็น Music Server อยู่ในตัวไปได้ง่ายๆ

ถ้า Rederer/Player ผมยังชอบ Amarra 4 หรือ Amarra Symphony มากกว่าอยู่ดี แต่ถ้าเอาความสะดวกสบายยังแพ้ A+ นาทีนี้ใครๆ ก็เล่น Tidal โดยเมื่อเล่น Tidal ก็เลือกอัลบั้ม Tidal Master สิครับ ตอนนี้มีอยู่เยอะแล้ว ของ America, Eagles ดนตรีแนว Soft Rock จนถึง Metal บ้างสลับกันไป บอกเลยว่าแฮปปี้มาก ฟังสนุก ไม่ว่าจะฟังแบบจริงจังกับเครื่องเสียงชุดใหญ่เต็มชุดในห้องเล็กของเรา

SD Card นั้นให้เสียงนิ่งจริง และข้อดีคือ ไม่มีความจำเป็นต้องมีทรานสปอร์ตตัวอื่นอีก เพราะเล่นได้ด้วยตัวเอง จึงไม่ต้องลงทุนกับทรานสปอร์ตแพงๆ เพราะมี Music Server อยู่แล้ว อาจขาดความสะดวกสบายไปบ้าง ก็ต้องใช้ รีโมตคอนโทรลของ Apple ให้คล่องๆ สักหน่อย ถือว่าเป็นการนำเสนอทางเลือกอีกทาง ถ้าใครที่ซีเรียสกับไฟล์ถึงขั้นได้ยินความต่างของไฟล์บนฮาร์ดดิสก์แล้วล่ะก็ คงต้องเลือกใช้ SD Card ใหญ่ๆ หลายๆ อันหน่อย แต่อย่าถึงขั้นต้องเทียบแบรนด์โน่นนี่นั่นกันอีกเลย อย่ากระนั้นเลย เลือกเก็บเป็นชุดๆ หรือแนวๆ ใน SD Card แต่ละแผ่น หรือสร้าง Folder ไว้ก็พอได้ อ้อ อย่าลืมนะว่าต้องเป็น FAT32 

สำหรับผมมีไฟล์เยอะ ชอบซนที่จะค้นหาอัลบั้มที่เขาว่าดี ตามติดดาวแล้ว ค่อยตามไปฟัง นั่นคือวิถีของนักล่าขุมทรัพย์สุดขอบจักรวาล ยอมมองข้ามบางอย่างไปบ้าง แม้เราทราบดีว่า ไฟล์ที่เราซื้อจาก HDTracks เสียงดีกว่า Tiadl แต่ในบางชุดก็แทบไม่ต่างกันเลย

WRAP UP 

หายสงสัยว่า ทำไม เสี่ยทอมมี่ ผู้ซึ่ง ผ่าน DAC มามากมายจนนับไม่ถ้วน จึงมั่นใจนักกับ Resonessence Labs ตัวนี้ ยอมรับว่า Invicta Mirus Pro นั้นแน่จริง เครื่องเสียงสัญชาติแคนาเดียนที่ไม่ต้องเอ่ยถึงความประณีตในการผลิต เรื่องอึดทนไม่ต้องห่วง เสียงดีนั้นแน่อยู่แล้ว ฉลาดที่ติดตั้ง HDMI มาด้วย แถมยังมี SD Card Reader ทำให้มันกลายเป็น Music Server ไปโดยปริยาย หรือใครจะเถียง เท่าที่ทราบ SD Card วันนี้มีทะลุ Terabyte ไปนานแล้วนา แม้ว่า Mirus Pro ตัวนี้จะมิได้ประทับ ตรา MQA Certified DAC แต่อย่างใด ก็ไม่เห็นต้อง “คัน” อะไรนี่นา ซึ่งดูเหมือน พี่มาร์กของผมจะไม่แคร์เอาเสียด้วย เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นตนเองสูง สมแล้วเป็น คนในแวดวง Silicon Valley ซึ่งเป็นคาแร็กเตอร์ของเขาแบบนี้ล่ะ พึงจ?ำไว้ว่า DAC ดีเป็นศรีต่อห้อง เขาเลือกที่จะใช้ DAC Chip SABRE 32 (ESS9028PRO) ติดตั้งไว้ด้วย Hyper Stream Technology ถึงสองตัววางบนแผงวงจรแบบ Field Programmable Gate Array ถือว่า “นายแน่มาก ฟีเจอร์แบบนี้เป็นต่อ ตั้งหลายขุมอยู่แล้ว เมื่อ Implement ได้ถูกที่ถูกทาง มันก็ใช่เลย มี Distortion ต่ำมากๆ ก็จะได้ Dynamics range ที่กว้างกลับคืนมา เกิดช่องว่างระหว่างตัวโน้ต ดนตรี ก็จะเป็นธรรมชาติ มีบรรยากาศ ฟังเพลงอะไรก็ดีไปหมด ฟังได้สนุก ฟังได้นาน ชักติดใจจนเจ้าที่เริ่มค้อน เพราะจอดนานเกิ้น มัวแต่เพลินไปกับ Resonessence Labs: Invicta Mirus Pro ตัวนี้ ยังไงซะ อย่าเพิ่งรีบเรียกคืนเลยนะ. ADP 

ราคา 220,000 บาท 
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย  PRESTIGE HI-FI 
โทร. 083-737-3113

นิตยสาร AUDIOPHILE VIDEOPHILE ฉบับที่ 243