“เป้ สีน้ำ” บทเพลงป่า – กลับมาแล้ว
ปฤษณ กัญจา
ถ้าอ้างอิงจากพระคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าทรงสร้างธรรมชาติขึ้นมาก่อนมนุษย์ และมนุษย์ก็เป็นเพียงผู้อาศัยตัวเล็กๆ บนโลกนี้เท่านั้น ทว่า เมื่อกาลเวลาผ่านไป มนุษย์กลับทำลายธรรมชาติจนย่อยยับ กระทั่งในที่สุดธรรมชาติก็ย้อนกลับมาสร้างบทเรียนให้กับมนุษย์อย่างเช่นทุกวันนี้
แต่ดูเหมือนว่า มนุษย์ก็ยังไม่สำนึก …
เป้ สีน้ำ นักร้อง นักดนตรี นักวาดรูป มีแนวคิดในการสร้างผลงาน สะท้อนความคิดในเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา บทเพลงของเขาได้มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้ฟังหันมาสนใจกับเรื่องราวที่อยู่รอบๆ ตัว โดยได้สอดแทรกเนื้อหา ทั้งในทางตรงและทางอ้อมผ่านตัวอักษร เพราะเชื่อว่าพลังของภาษา มีอิทธิพลที่จะสามารถโน้มน้าวและเปลี่ยนแปลงจิตใจของผู้ฟังได้
แม้ว่างเว้นการออกอัลบั้มงานดนตรีไปหลายปี แต่ เป้ สีน้ำยังคงทำงาน อนุรักษ์ธรรมชาติผ่านทางช่องทางต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เพราะเขาบอกว่า มันคือ DNA ที่ฝังเป็นเนื้อเดียวกับชีวิตของเขาไปแล้ว
วันนี้ เขากลับมาสร้างงานดนตรีที่ยังคงชัดเจนในแนวคิด แม้ว่าโลกจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้วก็ตาม
แนวคิดส่วนตัวของพี่เป้ที่มีต่อเรื่องของธรรมชาติมีมานานแล้ว และยังต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน
ในการใส่ใจในธรรมชาติ มันเป็น DNA ที่มีอยู่ในเรา มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้สร้างขึ้น หรือว่าไม่ได้เอาเข้ามาเพิ่ม มันต้องเคลื่อนไปตามกับระบบชีวิต เหตุอันเนื่องมาจากเราโตมาจากสิ่งเหล่านี้ โตขึ้นมากับธรรมชาติ โตมากับน้ำที่ใสสะอาด นกมาเป็นร้อยเป็นพัน เติบโตมากับสิ่งแวดล้อมที่มันสมบูรณ์ เรารู้เลย… สิ่งแวดล้อมนี้สร้างเรามา ไม่ใช่เฉพาะเรานะ เรานี่หมายถึง สร้างมนุษย์ สร้างยุคสมัย สร้างเจเนอเรชัน สร้างอะไรต่างๆ ขึ้นมา ผมก็เลย คิดว่ามันเป็นไปโดยความเป็นปกติ ที่มีความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าในปัจจุบันก็ตาม ต้นไม้ถูกตัดเราก็สะเทือนใจครับผม
พี่เป้วาดรูปมาก่อนที่จะทำดนตรีหรือเปล่าครับ
ทำควบคู่กันมา ผมเป็นนักเรียนศิลปะที่เรียนวาดรูป ส่วนเพลง จริงๆ ทำตั้งแต่เป็นนักเรียนแล้วนะ สมัยอยู่เพาะช่างก็ออกอัลบั้ม Butterfly ตอนนั้น ยังเรียนไม่จบ
แล้วก็ยังเดินในแนวทางของเพลงที่เกี่ยวกับธรรมชาติตลอด
มันอาจจะมีเพลงรักบ้าง แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมเขียนเพลงก็มาจาก เพลงรักนะ ทว่าจิตสำนึกที่มีมันอยู่กับธรรมชาติ
แต่งเพลงรักสักระยะหนึ่ง ถึงมาแต่งเพลงเกี่ยวกับธรรมชาติ
ผมแต่งเพลงเกี่ยวกับธรรมชาติมาก่อน อย่างเพลงเกาะเสม็ด วังตะไคร้ แต่งมาตั้งนาน ไปวังตะไคร้ก็แต่งเพลงวังตะไคร้ ไปเกาะเสม็ดก็แต่งเพลง เกาะเสม็ด หาดทรายขาวเรืองรอง แหมมองยามค่ำคืน อะไรอย่างนี้ มันควบคู่ กันไป เพียงแต่ว่า แต่ก่อนเป็นเชิงพรรณนาความงาม ไม่ได้ใส่ความคิดลงไป
ช่วงไหนครับ ที่เริ่มรู้สึกว่า เพลงของต้องการสื่อสารเรื่องของ ธรรมชาติ ที่ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องดูแลมากขึ้น
มีคนพูดประโยคที่ดีไว้นะ ว่าเพลงมันเปลี่ยนแปลงโลกได้ ผมเชื่ออย่างนั้น เพลงมันเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพลงมันบอกกล่าวอะไรได้เร็วทีเดียวเลยนะ เร็วเลยล่ะ อย่างน้อยได้ยินก็รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ก็เลยใช้เพลงเป็นเครื่องมือที่จะ สื่อสาร ที่จำเป็นจะต้องสื่อสารกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ให้ตระหนักเลยแหละ เพียงแต่ว่ามันไปบีบคอไม่ได้ไง มันก็เลยต้องแบบว่า กรอกหู (หัวเราะ)
ระยะห่างกี่ปีครับ กับอัลบั้มก่อนหน้านี้
ผมว่าอย่างน้อย 7 – 8 ปี แต่ในระหว่างนั้นก็ยังทำงานศิลปะ จริงๆ ก็ยังแต่งเพลงอยู่ตลอดเลย โดยเฉลี่ยผมแต่งเพลงเดือนละเพลง โดยประมาณนะ
พี่เป้ก็ยังมีเพลงที่แต่งเก็บไว้เยอะ
เยอะแยะเลยครับ ก็ยังแต่งอยู่ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ถูกนำมาประกอบร่าง ให้เป็นผลงาน เป็นอัลบั้ม
อัลบั้มนี้ เนื้อหาทั้งหมดต้องการบอกเรื่องราว โดยการร้อยต่อ เป็นเรื่องๆ หรือเปล่าครับ
ผมเอาอารมณ์ป่าเป็นโครงสร้าง แล้วก็สอดแทรกสาระ ส่วนอะไรที่กลัวว่าจะยัดเยียดคนเกินไป ก็เอาพอประมาณ มีเพลงเด็กบ้าง เพลงอะไรบ้าง แต่ก็เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
ทั้งหมดนี้อยู่ในโครงที่เกี่ยวกับป่า
ครับผม
เนื้อเพลงที่เขียนขึ้นมาจะเป็นในลักษณะของการเล่าเรื่อง การแต่งเพลงของพี่เป้แบบนี้เกิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แล้วก็ใส่ ทำนอง หรือยังไงครับ
มันมักจะมาจากมันผุดขึ้น คือไม่ได้คิดอะไร พอมันซ้ำๆ เข้า แล้วไปโดน อะไรที่มันสะกิดใจอะไรหน่อย มันก็ทำให้เป็นแรงบันดาลใจที่จะให้มันออกมา เป็นเพลง
แต่ละเพลงสามารถเกิดขึ้นโดยที่ไม่ซ้ำถือเป็นลักษณะเด่นของการคิดงานพี่เป้ไหมครับ
ยังไม่เคยมองตรงนี้เลย แต่ถ้าไม่ซ้ำก็ดีสิ เพราะเราก็หลีกเลี่ยงการ เลียนแบบตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้ามันไม่ซ้ำกันก็ดี และถ้าไม่ซ้ำโดยวิธี การทำงานก็ยิ่งดีใหญ่ เขียนเพลงเนี่ยกลัวซ้ำทั้งคำร้องและทำนอง (หัวเราะ)
แต่ละเพลงใช้เวลานานไหมครับ กว่าที่จะลงตัว
เดี๋ยวนี้นานนะ บางเพลงก็เป็นเดือน เป็นสัปดาห์ ขัดเกลาจนเรา ไม่กระดากปากที่จะร้อง อะไรอย่างนี้ บางทีแต่งเองก็กระดากปากนะ (หัวเราะ) กูไม่กล้าร้องแบบนี้ ก็ต้องเปลี่ยน ก็ขัดเกลาไปเรื่อยๆ แต่ว่าช่วงที่มันผุดขึ้นนะ อาจจะในช่วงเวลาหนึ่งในครึ่งวันในวันนั้น อะไรแบบนี้ แต่กว่าจะให้ลงตัวก็เป็นเดือนนะ
คุณบรรณเอาเพลงมาเรียบเรียงอีกทีใช่ไหมครับ ได้คำร้อง ทำนอง แล้วก็เรียบเรียง
(คุณบรรณ) ใช่ครับ พี่เป้เอากีตาร์ตัวหนึ่งมาเล่น เป็นร่างไว้ว่าเนื้อร้อง ทำนองเป็นแบบนี้ ผมก็มาคิดดนตรีแล้วก็ใส่เครื่องประกอบ
มีความคิดไหมครับ ว่าจะทำเพลงด้วยกีตาร์ตัวเดียว ถ้ามีโอกาส ในวันหน้า
(คุณบรรณ) ก็น่าสนใจครับ
ปัจจุบันนี้ พี่เป้ยังเปิดโรงเรียนสอนศิลปะ
ครับ สอนวาดรูป เป็นศิลปะเยียวยาจิตใจ ถ้าผมถามตัวเองนะ นี่เรากำลัง สอนอะไรอยู่ คือไม่ได้ติวให้คนไปเรียนวาดรูป หรือว่าให้คนมีทักษะที่จะไป เป็นนักวาดรูปอะไร เราเยียวยาจิตใจคนด้วยโดยระบบ ในตัวระบบของศิลปะ ในที่ที่ของการวาดรูป
ในมุมมองของพี่เป้ ทุกวันนี้ สิ่งแวดล้อมของเราอยู่ในสถานการณ์ ไหนครับ
อยู่ในสถานการณ์ฉิบหาย (หัวเราะ) แล้วก็รัฐบาลเองก็ไม่ได้สนใจกับ ความฉิบหายของธรรมชาติ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก อย่างเมื่อปีที่แล้ว ไฟไหม้ป่าทางภาคเหนือ แทบจะทุกจังหวัดทางภาคเหนือเลย มันเป็นไปได้ยังไง แล้วก็เหมือนกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ผมว่าเป็นสถานการณ์ฉิบหาย นี่แค่เฉพาะเมืองไทย ในปัจจุบันเป็นยังไง ไซบีเรีย 20 ล้านไร่ อะไรอย่างนี้ แป๊บเดียว 20 ล้านไร่
มันมีแต่ทำลายใช่ไหม
ครับ บราซิลเนี่ยเป็นยังไงล่ะ น้ำตาร่วงกันเป็นแถว
ในความเห็นของพี่เป้ จะมีกระบวนการอะไรไหมครับ ที่สามารถจะ ทำให้สิ่งแวดล้อมตีตื้นขึ้นมาได้ ในช่วงที่เรายังมีชีวิตอยู่
มีแต่ความหวังเท่านั้นที่จะเป็นไปได้ มันอยู่ในความหวังเท่านั้น ความเป็น จริงเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราพูดกันตามความเป็นจริง ต้นไม้ใช้ระยะเวลากี่ปี กว่าจะเติบโต ที่เอามาปลูกบ้านกันจนไม่มีไม้แก่มาปลูกแล้ว ต้องใช้ไม้อ่อนแล้ว กว่ามันจะโตมาให้ใช้งาน ใช้เวลานานเท่าไหร่ มันเป็นชั่วอายุคน และมันก็ถูกทำลายโดยการเอามาใช้งานส่วนหนึ่งถูกทำลายโดยเจตนาทำลายส่วนหนึ่ง ธรรมชาติทำลายตัวมันเองส่วนหนึ่ง ถูกขโมยถูกแย่งชิงอีกส่วนหนึ่ง คือองค์ ประกอบในการทำลายมันเยอะ เหมือนตุ่มน้ำที่มันรั่วทั้งใบ แล้วเมื่อไหร่มันจะเต็ม หรือว่า อ๋อ… อีกไม่นาน รูรั่วมันก็คงอุดเองโดยตะไคร่น้ำแล้วเราก็คงจะมีน้ำเหมือนเดิม อันนั้นเป็นความหวัง เป็นความฝันเท่านั้นเอง ผมมองความเป็นจริง
ในแง่ของการปฏิบัติอะไรต่างๆ โอกาสที่จะมีทางรอด
เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ อันนี้เราพูดความจริงนะ เพราะอะไร เพราะว่ามันไม่ตระหนัก มันไม่ได้ตระหนักโดยภาครัฐ ที่เหลือมันเป็นไปไม่ได้ แล้วก็โดยเฉพาะโครงการต่างๆ เบียดเบียนธรรมชาติทั้งสิ้น สนามบินเอย ถนน คลอง คลองที่ขุดลอกโดยไม่ได้คำนึงถึงสภาวะสิ่งแวดล้อมเดิม สองฟากฝั่ง ทั่วภาคอีสานเป็นอย่างนั้นไปหมด
เป็นการตั้งโจทย์และก็ทำโดยที่ไม่ได้ดูองค์ประกอบแวดล้อม
มันไม่ได้ดูอะไรเลย คนพวกนี้มองธรรมชาติไม่เห็นความงาม มันเป็นอย่างนั้น ประเทศเรามันเป็นอย่างนั้น โดยเฉพาะหน่วยงานราชการ ตัดแหลก ต้นไม้ตามสี่แยกไฟแดงที่ยโสธรเป็นต้นสักโดนตัดหมด
ทั้งๆ ที่มีกระบวนการสามารถจะจัดการได้
ก็มีในความหวัง มีในความคิด มีในเจตนารมณ์ที่อยากจะให้มันมี แต่ในทางรูปธรรม ผมยังไม่เห็น นอกจากคนที่ทนไม่ไหวจริงๆ นักวิชาการที่ทน ไม่ไหวก็ออกมาเขียนหนังสือ ศิลปินก็ออกมาทำงานศิลปะ เพื่อที่จะบอกว่าเราสูญเสียอะไร แต่หน่วยงานของรัฐไม่มี
คนที่เกี่ยวข้องโดยตรง ไม่ได้มีความคิดแบบนี้
ใช่ พวกที่ทำลายโดยตรงไม่มีความสำนึก มันก็เลยยาก ไอ้เราไม่ได้ ทำลายนะ เราก็อาศัยร่มไม้อยู่ แต่ว่าเราสำนึก มันก็เป็นแรงที่น้อย ก็เลยใช้เนี่ย ใช้เพลงช่วย ก็หวังว่าศิลปะจะเข้าไป คือเราไม่ได้หวังว่าจะสำเร็จในยุคสมัยของเรา มันโตไม่ทันเราปลูกบ้านแน่นอน ต้นไม้ที่เราปลูกวันนี้ นอกจากใน เจเนอเรชันต่อไป ไอ้วิธีคิดหรือความหวังก็เหมือนกัน เราก็ส่งทอดความหวัง ไปเรื่อยๆ ถึงแม้วันนี้จะไม่มีภูเขาน้ำแข็งแล้ว เราก็ยังหวังว่าอาจจะคงมี ภูเขาน้ำแข็งที่ลาวแทนกรีนแลนด์อะไรแบบนี้
ก็ฝากคน ฝากประชาชน ฝากผ่านสื่อ เพราะว่าเรามุ่งหวังรัฐบาลไม่ได้ เราต้องฝากเพื่อน ฝากน้อง ฝากพี่ ฝากคนใกล้ตัวของเราที่จะกลับมาตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งไม้ผลัดต่อเจเนอเรชันต่อไป ไม่งั้นเราจะไม่เหลืออะไรเลย ก็คือสิ่งแวดล้อมนี่มันก็คือส่วนหนึ่งของประเทศชาติ หมายความว่า ไอ้ที่มอญมันสิ้นชาติ เพราะมันไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แต่เราเป็นไทยเรามีแผ่นดินอยู่ แต่แผ่นดินถูกทำลายยังเงี้ย แผ่นดินถูกอาบด้วยสารพิษ ซึ่งน้ำก็เอามาบริโภคไม่ได้ แผ่นดินที่ไม่มีภูเขา ไม่มีต้นไม้ มันคือกระบวนการสิ้นชาติ เราทำเพลง เราสุนทรียะก็จริง แต่ในความงามของตัวสุนทรียะ มันทำงานเพื่อที่จะเยียวยาแผ่นดินนี้ไว้ในงานน่ะ ผมคิดอย่างนั้น. ADP
นิตยสาร AUDIOPHILE VIDEOPHILE ฉบับที่ 272
No Comments